วันเสาร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2556

เที่ยวเืมืองดาลัด ตอนที่ 10 (วัดตั๊กลัม)


อิชั้นคงพูดได้เต็มปากเลยฮ่ะ ว่าวัดตั๊กลัมนั้น คือหนึ่งในอีกหลาย ๆ สถานที่ของเมืองดาลัดที่เมื่อมีโอกาสแล้ว เราก็จะต้องไปเยือนให้ได้น่ะนะคะ 

หลังจากที่ลงจาก กระเช้าไฟฟ้า แห่ง เมืองดาลัด ปลายทางของเราก็จะมาบรรจบกันอยู่ที่วัดตั๊กลัม (Truclam) พอดีฮ่ะ ซึ่งถึงแม้ว่าแดดจะแรงถึงใจและจะต้องเดินขึ้นบันไดไปอีกหลายสิบขั้น แต่ภาพที่เห็นปรากฎอยู่ข้างบนนั้น ก็ทำให้ลืมเหนื่อยลืมทุกข์ร้อนไปได้แทบจะในทันทีเลยอ่ะนะ



จากประวัติความเป็นมาของ วัดตั๊กลัม (Thien Vien Truc Lam) ที่นี่คือวัดพุทธในนิกายมหายานค่ะ ซึ่งแม้จะเป็นพุทธเช่นนิกายเถรวาทแบบบ้านเรา แต่ธรรมเนียมปฏิบัติหลายๆ ก็มีความแตกต่างกันอยู่บ้าง



ที่เห็นชัดเจน คงเป็นที่นิกายนี้เน้นการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันและการทำทานเพื่อช่วยเหลือมนุษย์ให้หลุดพ้นแบบเป็นทีม นอกจากนี้แล้วยังมีบทสวดที่ดูทันสมัย ฟังแล้วรู้สึก สงบ ร่มเย็น รวมถึงการนับถือพระโพธิสัตว์อย่างพระโพธิสัตว์กวนอิม ซึ่งพระโพธิสัตว์เหล่านี้ คือ บุคคลที่สานต่ออุดมการณ์ของพระพุทธเจ้า ซึ่งยินดีกลับมาเกิดใหม่ เพื่อช่วยให้มนุษย์พ้นภัย

ต่างจากเถรวาท ที่เน้นเรื่องของการรักษาศีล และมีความเป็นปัจเจกสูง ส่วนใหญ่ปฏิบัติเพื่อให้ตนหลุดพ้น และไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก




ภายในบริเวณวัดนอกจากจะมีสิ่งก่อสร้างที่สวยงาม สะอาด เป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว ยังมีการจัดทัศนียภาพโดยรอบด้วยสวนดอกไม้ที่ผลิดอกบานสะพรั่ง มองลงไปก็จะเห็นทะเลสาบสวรรค์ หรือ Paradise Lake ประกอบกับลมเย็น ๆ ฟ้าสีฟ้าเข้ม และแดดโปร่ง ยิ่งทำให้รู้สึกว่าวัดแห่งนี้มีความงามจนเหลือจะกล่าวเลยก็ว่าได้




แม้ว่าจะมีผู้คนเดินอยู่ในบริเวณวัดเป็นจำนวนไม่น้อย แต่ทำไมอิชั้นไม่รู้สึกอัดอัดคับข้องเลยก็ไม่รู้ (ปกติเป็นคนที่ไม่ชอบเที่ยวในสถานที่ที่คนเยอะ ๆ อ่ะค่ะ) วัดนี้ให้ความรู้สึก สุข สงบ อยู่ในใจแบบอธิบายไม่ถูก

มาชมบรรกาศโดยรอบกันนะคะ










เรื่องและภาพประกอบโดย Pacharawalai

เที่ยวเมืองดาลัด ตอนที่ 9 (นั่งกระเช้าไฟฟ้าชมเมืองดาลัด)



ความสวยงามของเมือง ดาลัด นั้น นอกจากเราจะสามารถสัมผัสได้จากภาคพื้นดินแล้ว เรายังสามารถมองวิวทิวทัศน์จากมุมสูงด้วยการนั่ง กระช้าไฟฟ้า หรือ Cable Car ได้ด้วยฮ่ะ

กระเช้าไฟฟ้าที่เราจะไปนั่งกันในวันนี้ มีปลายทางอีกด้านหนึ่งอยู่ที่ วัดตั๊กลัม(Truclam) ซึ่งตั้งอยู่เหนือทะเลสาบ Tuyen Lam Lake โดยเราจะต้องไปขึ้นที่สถานีต้นทางซึ่งตั้งอยู่บน Robin Hill (อิชั้นเกือบเรียกว่าเป็นเนินเขา โรบิน ฮู้ด อยู่ละ 555+) ซึ่งสถานีนี้ก็จะอยู่ห่างจากตัวเมืองดาลัดออกไปอีกประมาณ 7 กม.อ่ะนะคะ


รถกระเช้าไฟฟ้าหรือเคเบิ้ลคาร์นี้ มีความยาวทั้งสิ้น 2,300 เมตรค่ะ และก็มีความสูงจากระดับน้ำทะเล ประมาณ 1,650 เมตร แต่ละกระเช้าสามารถนั่งได้ 4 คน (ฝั่งละ 2 คน แต่ใครจะนั่งน้อยกว่านั้น เค้าก็ไม่ว่า) ใช้เวลาเดินทางตามสายเคเบิ้ลประมาณ 15 นาที แต่ตลอดระยะทางที่เคเบิ้ลคาร์เลื่อนไป เราก็จะได้ชมความงามของเทือกเขาอันเขียวชอุ่มและตัวเมืองดาลัดจากมุมสูงกันอย่างจุใจเลยอ่ะนะคะ

เอาล่ะ..ก่อนจะไปนั่งรถกระเช้าไฟฟ้า เรามาดูวิวทิวทัศน์ของเมืองดาลัดจากสถานีต้นทางกันก่อนดีกว่าเน้อ...


บ้านเรือนสวยงามกระจุ๋มกระจิ๋ม หูย..ยังกะเมืองตุ๊กตาเลยอ่ะ >0</ เห็นวิวแบบนี้แล้ว บอกได้เลยว่าคนที่มาเที่ยวเมืองดาลัดไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงฮ่ะ สนนราคาค่านั่งรถกระเช้าไฟฟ้านั้น หากเป็นการนั่งเที่ยวเดียว ผู้ใหญ่ จะอยู่ที่ราคาประมาณ 8๐ บาท  ส่วนเด็กก็จะอยู่ราว ๆ 5๐ บาท  หรือหากติดใจจะตีตั๋วนั่งทั้งขาไปขากลับก็ได้นะ


อ่ะ มาดูวิวทิวทัศน์ความสดชื่นเขียวชอุ่มของทิวเขาแห่งเมืองดาลัดกัน


ดูเหมือนข้างล่างจะเป็นไม้พวกสนสามใบซะเป็นส่วนใหญ่


คนที่กลัวความสูงไม่ต้องกลัวเน้อ ที่นี่เค้าเคลมกันว่าเป็นกระเช้าไฟฟ้าที่ใหม่ ทันสมัยและปลอดภัยที่สุดของเมืองดาลัดเลยทีเดียว 


แดดแรงมากกก..แต่ทิวทัศน์ข้างล่างก็สวยบาดใจจริง ๆ ... ^^

เดี๋ยวเราลงที่สถานีปลายทางแล้วเดินขึ้นไปชมความสวยงามเงียบสงบของวัดตั๊กลัม (Truclam) ซึ่งถือเป็นวัดเก่าแก่แห่งเมืองดาลัดกันต่อนะคะ


เรื่องและภาพประกอบโดย Pacharawalai





วันศุกร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2556

เที่ยวเมืองดาลัด ตอนที่ 8 (หุบเขาแห่งความรัก Valley of love)

หุบเขาแห่งความรัก หรือ Valley of  love นั้น เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ได้รับความนิยมมาเยือนของชาวดาลัดซึ่งเป็นชาวท้องถิ่นเอง หรือนักท่องเที่ยวจากต่างถิ่นน่ะนะคะ

หุบเขาแห่งความรัก ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของทะเลสาบซวนฮวาง (Xuan Huong Lake) ฮ่ะ โดยชาว เวียดนาม เรียกหุบเขาแห่งความรักนี้ว่า "ทุงหลุงติงห์เอียว (Thung Lung Tinh Yen)"

หุบเขาแห่งความรัก มีลักษณะเป็นหุบเขาซึ่งมีทะเลสาบอยู่ตรงกลาง ล้อมรอบด้วยเนินเขาเตี้ยๆ ที่ปกคลุมด้วยไม้สน ปัจจุบันนี้ได้จัดให้เป็นคล้าย ๆ สวนสาธารณะของเมือง มีการจัดไม้ดอกไม้ประดับและมุมถ่ายรูปให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายภาพกันน่ะนะคะ แต่เนื่องจากเราเป็นคนต่างถิ่น ไกด์จึงได้แนะนำว่า พยายามอย่าถ่ายรูปบริเวณที่มีแผ่นป้ายเขียนภาษาเวียดนามบอกหรือไปถ่ายภาพตามคำเชิญชวนของเจ้าของสถานที่เด็ดขาดนะฮ้าฟฟ... มิเช่นนั้นเราก็อาจจะต้องจ่ายสตางค์เค้าเป็นค่าสถานที่ที่ใช้เป็นฉากถ่ายรูป เอิ่มมม..เตือนกันไว้แต่ต้นมืองี้ก็ดีเหมือนกันฮ่ะ เพราะตั้งแต่อิชั้นลงไป ตามันก็สอดส่ายเห็นแต่มุมถ่ายรูปที่มีป้ายนู่นป้ายนี่ติดเอาไว้เต็มเลย...>0</


ภาษาเวียดฯ ตรูอ่านไม่ออกหรอก แต่ตรูระแวงงง..(ฮา~)


จริง ๆ ที่นี่เค้าก็มีตำนานเอาไว้เล่าขานกันฟังเหมือนกันนะคะ คือก่อนที่จะกำเนิดเป็นหุบเขาแห่งความรักนี่ เล่ากันว่า สถานที่นี่คือที่นัดพบระหว่างนายทหารชาวดาลัดนายหนึ่ง กับหญิงสาวผู้เป็นที่รัก โดยเหตุการณ์นี้เกิดในช่วง ศตวรรษที่ 17 ฮ่ะ ซึ่งเป็นช่วงที่นายทหารผู้นี้ต้องไปทำการรบกับข้าศึกชาวจีนมองโกเลียที่มารุกรานเวียดนาม โดยสองคนนี้ได้สัญญาว่าเมื่อชายหนุ่มกลับมาพบกันตามเวลาที่นัดหมาย ก็จะแต่งงานกัน

เมื่อถึงเวลานัด สาวเจ้าก็ไปรอนายทหารหนุ่มคู่รักที่หุบเขาแห่งนี้แหละฮ่ะ แต่เผอิญอิ่ตาทหารหนุ่มเกิดไม่ได้มาตามนัดซะงั้น สาวเจ้าก็เศร้าโศกเสียใจ คิดว่าคนรักตายในสนามรบซะแล้ว ก็เลยมาโดดหุบเขาฆ่าตัวตายที่นี่ สุดท้ายเมื่อนายทหารหนุ่มกลับมาและได้ข่าวว่าคนรักตัวเองโดดเขาตายไปเสียแล้ว เขาจึงฆ่าตัวตายตามไปในที่สุด

ว่ากันว่าชาวดาลัดเรียกหุบเขาแห่งความรักนี้ว่า ดอยสองศพฮ่ะ เนื่องจากชาวบ้านได้นำเอาร่างของคนทั้งคู่มาฝังร่วมกันที่นี่


ส่วนทะเลสาบสวย ๆ เบื้องล่างของหุบเขาที่อิชั้นถ่ายรูปมาฝากกันนั้น ก็เรียกกันว่าเป็นทะเลสาบคร่ำครวญค่ะ เนื่องจากเวลาลมพายุพัดมาผ่านทิวไม้ต่าง ๆ โดยรอบ ก็มักจะส่งเสียงหวีดหวิวเป็นที่น่าเศร้าใจ และเตือนใจให้นึกถึงคู่รักคู่นี้น่ะนะคะ


แม้จะแดดแรงเปรี้ยง แต่ลมหนาวก็ยังโบกโบยไม่ลดละลงเลย อากาศดีเยี่ยงนี้ ตอนหน้าเราไปขึ้นกระเช้าดูวิวทิวทัศน์สวย ๆ ของเมืองดาลัดจากมุมสูงกันบ้างนะคะ



เรื่องและภาพประกอบโดย Pacharawalai


วันพฤหัสบดีที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2556

เที่ยวเมืองดาลัด ตอนที่ 7 (พระราชวังเบ๋าได๋ 2)


พระราชวังเบ๋าได๋ นั้น เปิดให้เข้าชมทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ ตั้งแต่เวลา 07.00 - 17.00 น.ฮ่ะ ความโดดเด่นของพระราชวังแห่งนี้ก็คือการได้รับการออกแบบและปลูกสร้างอยู่ท่ามกลางสวนสวยแบบตะวันตก โดยได้เริ่มก่อสร้่างเมื่อปี พ.ศ 2476 และเป็นที่ประทับของจักรพรรดิ์เบ๋าได๋ซึ่งเป็นจักรพรรดิ์องค์สุดท้ายของเวียดนามพร้อมครอบครัวจนกระทั่งถึงปี พ.ศ 2518 ซึ่งเป็นปีที่ต้องทรงเสด็จออกไปพำนักถาวรยังประเทศฝรั่งเศสตามเงื่อนไขทางการเมืองน่ะนะคะ


หลังจากพระจักรพรรดิ์เบ๋าได๋ได้ทรงเสด็จย้ายออกไปแล้ว พระราชวังแห่งนี้ก็ได้กลายเป็นที่พักของเจ้าหน้าที่พรรคคอมมิวนิสต์ค่ะ และต่อมาก็ได้กลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแนวพิพิธภัณฑ์แบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้

ภายใน พระราชวังเบ๋าได๋ นั้นประกอบด้วยห้องหับซึ่งใช้ในวาระต่าง ๆ หลายห้องทีเดียวค่ะ แม้ว่าจะมีขนาดของพระราชวังไม่ใหญ่โตมากมายนัก แต่ก็มีทั้งห้องส่วนพระองค์ของจักรพรรดิเบาได๋และครอบครัว มีห้องรับแขก ห้องแต่งตัว แถมยังมีห้องประชุม และห้องทรงงานอีกด้วย





ห้องต่าง ๆ ซึ่งเป็นห้องพักส่วนพระองค์ก็จะใช้สีของผนังและเครื่องเรือนแบ่งแยกกันอย่างชัดเจนค่ะ อย่างเช่น ห้องพระราชโอรสเป็นโทนสีฟ้า ห้องพระราชธิดาก็จะเป็นโทนสีชมพู ส่วนห้องที่ใช้ทรงงานมักจะมีโทนสีเหลือง,ครีม และมีเครื่องเรือนไม้สีไม้โอ๊กช่วยให้ห้องดูภูมิฐานสวยงามคลาสสิคน่าชมมากขึ้น



นอกจากนี้แล้วภายในพระราชวังเบ๋าได๋ ก็ยังมีห้องที่จัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ส่วนพระองค์ที่ทรงได้ใช้งานจริงมาก่อนด้วยนะคะ



สำหรับผู้ที่สนใจอยากจะแต่งกายย้อนยุคเพื่อเลียนแบบองค์จักรพรรดิ์และพระมเหสีที่นี่เค้าก็มีจัดบริการให้ทั้งการให้เช่าชุดและการถ่ายภาพค่ะ แต่อิชั้นไม่ได้สนใจแต่อย่างใด เพราะเพื่อนฝูงผู้ร่วมทริปกระซิบบอกมาว่า กลิ่นของชุดที่เช่าใส่นั้น..เป็นที่กลั้นใจมาก 5555+ (กลัวเป็นลมซะก่อนที่จะได้ชักภาพ) อันนี้ก็คงขอสละสิทธิ์สักหนึ่งรายการก็ละกันนะคะ >0</

ในตอนหน้าของบล็อกทริปถูกใจ เราจะไปขึ้นกระเช้าลอยฟ้าชมทัศนียภาพความงามของเมือง ดาลัด กันต่อนะคะ



เรื่องและภาพประกอบโดย Pacharawalai


เที่ยวเมืองดาลัด ตอนที่ 6 (พระราชวังเบ๋าได๋ 1)



วันนี้เราทำเวลาได้ดีฮ่ะ แค่ไม่กี่ชั่วโมงในช่วงเช้าในเมืองดาลัด เราก็เที่ยวกันกระเจิงมาถึง 2 แห่งแล้ว ไม่ว่าจะเป็น โบสถ์ดาลัด หรือแม้แต่ เครซี่ เฮ้าส์ และเมื่อยังมีเวลาพอเราก็ตะลุยกันต่อ จุดหมายปลายทางต่อไปของเราก็คือ พระราชวังฤดูร้อนของจักรพรรดิ์องค์สุดท้ายของเวียดนามก่อนที่จะเปลี่ยนการปกครองเป็นแบบคอมมิวนิสต์แบบในปัจจุบัน นั่นก็คือ จักรพรรดิ์เบ๋าได๋ นั่นเองน่ะนะคะ


จักรพรรดิ์เบ๋าได๋แห่งเวียดนาม(จื๋อโนม : 保大)นั้น ทรงเป็นจักรพรรดิองค์ที่ 13 และเป็นจักรพรรดิ์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์เหงียนที่ครองราชย์สืบเนื่องกันมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2469 - พ.ศ. 2488 ค่ะ และเนื่องจากทรงเป็นสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งอันนัมในอารักขาของฝรั่งเศส (ขณะนั้นเวียดนามเป็นดินแดนของฝรั่งเศส) ดังนั้นพระองค์ทรงจึงใกล้ชิดและได้รับความคุ้มครองจากฝรั่งเศสตามไปด้วย

พระองค์ทรงขึ้นครองราชบัลลังก์ในปี พ.ศ. 2475 เมื่อทรงมีพระชนมายุ 19 พรรษาเท่านั้นเองฮ่ะ ต่อมาญี่ปุ่นได้ทำการขับไล่ฝรั่งเศสออกจากเวียดนามในปีพ.ศ. 2488 และใช้อำนาจการปกครองผ่านจักรพรรดิเบ๋าได๋ ในช่วงนี้พระองค์ทรงตั้งชื่อประเทศใหม่ว่า "เวียดนาม" และต่อมาพระองค์ก็ได้ทรงสละราชบัลลังก์ในเดือนสิงหาคมเมื่อญี่ปุ่นยอมแพ้สงคราม

จริง ๆ แล้วเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยขององค์จักรพรรดิ์เบ๋าได๋ที่ไกด์ท้องถิ่นเหลา เอ๊ย..เล่าให้ฟังนั้นค่อนข้างน่าสนใจทีเดียวค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เกร็ดเล็กน้อยระหว่างจักรพรรดิ์พระองค์นี้ กับหมายเลข 13 ไกด์ท้องถิ่นเล่าให้ฟังว่า เลข 13 นั้น มีความสัมพันธ์กับองค์จักรพรรดิ์เบ๋าได๋มากเลยทีเดียว อาทิเช่น พระองค์ทรงเป็นจักพรรดิ์องค์ที่ 13 ซึ่งเป็นจักรพรรดิ์องค์สุดท้ายของราชวงศ์เหงียน ทรงมีมเหสีและพระชายา 13 องค์ มีโอรสและธิดา 13 องค์ ซึ่งเมื่อสืบค้นดูรายละเอียดเรื่องนี้ จะเห็นว่าคลาดเคลื่อนอยู่ไม่ใช่น้อยนะคะ นั่นก็คือ ตามข้อมูลแล้ว ทรงมีพระมเหสีและชายาที่ได้รับการอภิเษกสมรสเพียงแค่ 5 พระองค์เท่านั้นเอง แล้วตกลงข้อมูลไหนจริงแท้แน่นอนกันแน่หว่า ??

เอาล่ะ เข้าไปเยี่ยมชม พระราชวังฤดูร้อนเบ๋าได๋ กันดีกว่าค่ะ

เนื่องจากพื้นของพระราชวังแห่งนี้เป็นไม้ ดังนั้นเพื่อป้องกันความเสียหายอันเนื่องมาจากการเยี่ยมชมของบรรดานักท่องเที่ยวและผู้สนใจ เจ้าหน้าที่จึงได้กำหนดให้ทุกคนที่จะเข้าชมพระราชวังเบ๋าได๋ ต้องสวมถุงเท้าผ้าแบบนี้


เข้าท่าดีเนอะ อิอิ..คนดูแลทำความสะอาดจะได้ไม่ต้องปวดหัวกับการเก็บกวาดพื้นที่วัน ๆ รองรับผู้สนใจและนักท่องเที่ยวเป็นพัน ๆ คนด้วยอ่ะ


ภายในพระราชวังฤดูร้อนแห่งนี้ ได้รับการจัดห้องหับและข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ขององค์จักรพรรดิ์เบ๋าได๋ไว้ตามเดิมเลยฮ่ะ ห้องต่างๆ ภายในพระราชวัง แบ่งเป็นห้องนอน,ห้องนั่งเล่น,ห้องแต่งตัว,ห้องประชุม แต่ดูเหมือนจะมีห้องนอนเยอะมากกกก..กว่าห้องอื่น ๆ ฮี่ ๆ



ดูเหมือนตอนนี้จะยาวไปซะละ ยกยอดไปเดินชม พระราชวังเบ๋าได๋ ต่อในตอนหน้าก็ละกันนะคะ



อ้างอิงข้อมูลจาก วิกิพีเดีย
เรื่องและภาพประกอบโดย Pacharawalai



วันพุธที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2556

เที่ยวเมืองดาลัด ตอนที่ 5 (crazy house 2)


เมื่อตอนที่แล้วเราได้พาเที่ยวชม Crazy House แห่งเมือง ดาลัด กันไปบ้างแล้วน่ะนะคะ หลาย ๆ คนคงอดทึ่งกับการออกแบบของตัวบ้านที่มีลักษณะไม่เหมือนบ้านธรรมดา ๆ หลังอื่น คือมีรูปแบบคล้ายบ้านต้นไม้ผสมกับรูปหน้าคน ซึ่งนับว่าเป็นการออกแบบที่คล้ายกับโขกออกมาจากเทพนิยายกันเลยทีเดียว ซึ่งก็แน่นอนฮ่ะ ภายนอกแปลกซะขนาดนี้ ภายในบ้านจะเหลือเร๊อะ !!


มาดูการออกแบบภายในห้องแต่ละห้องกันนะคะ


มันเหมือนหลุดเข้ามาอยู่ในเมืองแห่งเทพนิยาย หรือนิทานเด็กมากกว่านะเนี่ย รักเลย ๆ อุอุ ^0^/


ขอบอกว่าบางห้องของบ้านหลังนี้ยังมีการใช้งานอยู่จริงฮ่ะ ดังนั้นห้องไหนที่เป็นห้องส่วนตัว และไม่อนุญาตให้ผู้คนเข้าชม ก็จะมีการใส่กุญแจไว้ หรือมีประตูแบบครึ่งท่อนกั้นไว้ เราก็ทำได้เพียงแต่เมียง ๆ มอง ๆ เข้าไปภายในแบบตื่นตาตื่นใจเท่านั้น (อยากเข้าไปดูทุกห้องเลยอ่ะ...)


ปัจจุบันนี้มาดาม Hang Nga เจ้าของและผู้สร้างสรรค์ (ลูกสาวของอดีตรองประธานาธิบดีโฮจิมินห์) เธอก็ยังมีชีวิตอยู่ค่ะ ด้วยวัย 72 ปี ดูเหมือนเธอยังมีความคิดดี ๆ ที่จะแตกยอดบ้านหลังนี้ไปได้อีกเรื่อย ๆ เพราะแม้ในวันที่อิชั้นไปเที่ยวชม ก็ยังเห็นคนงานกำลังต่อเติมบ้านกันอย่างขมักเขม้น


แหม๊ะ..มองมุมนี้.มันเหมือนหน้าคนจริง ๆ เลยโน๊ะ..


เดินเที่ยวชมกันจนหมดเวลาแล้วก็ต้องถึงเวลาไปกันต่อค่ะ แอบเสียดายเล็กน้อย น่าจะปล่อยอิชั้นไว้ที่นี่นาน ๆ Y^Y อยากอยู่ต่อสักครึ่งค่อนวันอ่ะ แต่เมื่อมีเวลาจำกัด ก็คงต้องจรลีไปที่อื่นกันอีกอ่ะเนอะ คราวหน้าเราจะไปเยี่ยมชมพระราชวังฤดูร้อนขององค์จักรพรรตเบาได๋กันนะคะ



เรื่องและภาพประกอบโดย Pacharawalai


เที่ยวเมืองดาลัด ตอนที่ 4 (crazy house 1)

เมื่อเอ่ยชื่อ Crazy House หลาย ๆ คนคงนึกถึงหนังสยองขวัญที่มีฉากเป็นบ้านทึบ ๆ ทึม ๆ ชวนให้ฝันร้ายเรื่องใดเรื่องหนึ่งขึ้นมาอย่างอดไม่ได้อ่ะนะคะ แต่ Crazy House แห่ง ดาลัด ที่เราจะไปเที่ยวชมกันในวันนี้ กลับให้ประสบการณ์ประทับใจในจินตนาการของผู้สร้างและผู้เป็นเจ้าของบ้านแบบที่อิชั้นไม่เคยนึกมาก่อนเลย

เครซี่ เฮ้าส์ (Crazy House) หรือที่เรียกกันติดปากว่าบ้านเพี้ยนนั้น เพี้ยนเล็กน้อยสมชื่อฮ่ะ (เล็กน้อยจริงหร๋าาา..แหะ ๆ) คือนอกจากสภาพภายนอกบ้านที่ไม่ได้มีหน้าตาเหมือนบ้านคนทั่วไปปกติแล้ว ห้องหับภายในบ้านยังเต็มไปด้วยจินตนาการเหมือนโขกออกมาจากเทพนิยายซะด้วย


เจ้าของผู้สร้างสรรค์บ้านหลังนี้ก็คือ ลูกสาวของประธานาธิบดีคนที่ 2 ของ เวียดนาม ซึ่งเรียนจบด้านสถาปัตย์มาจากฝรั่งเศสค่ะ ตัวบ้านมีลักษณะคล้ายบ้านต้นไม้ที่มีห้องหับสูงต่ำลดหลั่นกันไปเรื่อย ๆ แต่ละห้องมีบันไดเวียนที่สามารถเดินถึงกันได้ ว่ากันว่าผู้สร้างและเจ้าของได้รับแรงบันดาลใจมาจากนิยายเรื่อง ALICE IN WONDERFUL LAND นั่นเองน่ะนะคะ


และเนื่องจากบ้านหลังนี้สร้างอยู่บนเนินเขา ดังนั้นเมื่อขึ้นไปจนถึงด้านบนสุดของบ้านแล้วเราจึงมีโอกาสได้เห็นทิวทัศน์ของเมือง ดาลัด ได้กว้างไกลสุดลูกหูลูกตาอีกด้วย ว้าว ๆ ๆ...ส๊วยสวยเนอะ ^0^/


จะบอกว่ายิ่งสูงยิ่งหนาวก็ได้ฮ่ะ นอกจากหนาวแล้วยังเสียวอีกด้วย (ฮา~) ก็อิ่บันไดเวียนที่ไต่ ๆ ขึ้นไปนี่มันทั้งสูงทั้งแคบ ประมาณด้วยสายตาแล้ว บันไดกว้างแค่ฟุตครึ่งได้มั๊ง (จะแคบไปไหน ??) แถมราวกั้นกันตกยังต่ำได้ใจอีก ใครเป็นโรคกลัวความสูง อย่าปีนขึ้นไปนะค้าา มีสิทธิ์หน้ามืดขาสั่นกันได้ง่าย ๆ


ยังไม่ได้พาชมห้องหับภายในบ้านเพี้ยนกันเลย กลับมาเที่ยวกับทริปถูกใจได้ใหม่ในครั้งหน้านะคะ

เที่ยวเมืองดาลัด ตอนที่ 3 (โบสถ์ดาลัด)
เที่ยวเมืองดาลัด ตอนที่ 2 (ถนนคนเดิน)
เที่ยวเมืองดาลัด ตอนที่ 1 (สถานีรถไฟดาลัด)



เรื่องและภาพประกอบโดย Pacharawalai





เที่ยวเมืองดาลัด ตอนที่ 3 (โบสถ์ดาลัด)


เช้าวันรุ่งขึ้นเราใช้สูตร 6-7-8 ฮ่ะ นั่นก็คือตื่นกัน 6 โมงเช้า กินข้าว 7 โมง แล้วก็ออกไปตะลอนเที่ยวกันตั้งแต่ 8 โมง

เช้านี้อากาศหนาวมากจริง ๆ ค่ะ..อ้า จริง ๆ แล้วคงต้องบอกว่า มันหนาวตั้งแต่อิ่ตอนมาถึงเมื่อวานแล้วล่ะนะ ไม่น่าเชื่อเลย ว่าอุณหภูมิมันจะพากันลดต่ำลงอีก เมื่อคืนอุณหภูมิต่ำสุดอยู่ที่ 14 องศา สาย ๆ วันนี้เพิ่มขึ้นมาเป็น 17 องศา ลมหนาวกรรโชกแรงได้อีก มิน่าห้องพักในโรงแรมถึงไม่มีเครื่องปรับอากาศให้เห็น แหม่~ก็มันเย็นเหมือนเทวดาทำแอร์รั่วซะขนาดเน้ >0</

หลังกินข้าวเช้ากันเรียบร้อยแล้ว เช้านี้เราจะไปเยี่ยมชม โบสถ์ดาลัด ซึ่งเป็นโบสถ์คริสต์นิกายโบแตสแตท์สีชมพูอมส้มกัน โบสถ์หลังนี้สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ 1940 ค่ะ ตั้งอยู่บนเนินเขาใจกลางเมือง ดาลัด และกลายเป็นแลนด์มาร์คของเมืองไปเรียบร้อยแระ


แม้อากาศจะเย็นเจี๊ยบบบ..แต่แดดก็แรงมากถึงมากที่ซู้ดดด..T^T 


ทุกครั้งที่เดินทางท่องเที่ยว อดไม่ได้ที่จะหยิบน้องนิค เพื่อนคู่ใจที่คบกันมาหลายปีมาเก็บภาพฮ่ะ (Nikon D60) โชคดีเหลือเกินที่ทริปนี้หอบเอาเลนส์ไวด์ (sigma 10-20)มาเสริมทัพด้วย ไม่งั้นก็เห็นทีจะเก็บความน่ารักสวยงามของโบสถ์ดาลัดได้ไม่หมดอ่ะนะ


เข้าไปดูข้างในโบสถ์กันเนาะ


งานนี้อิชั้นวิ่งถ่ายรูปจนหอบแดร่กเลยค่ะ ไม่ใช่เพราะทางทัวร์ให้เวลาน้อยหรอก แต่ยัยคนนี้งก อยากได้ภาพเยอะ ๆ แถมติดนิสัยเวลาไปเที่ยวไหนต่อไหนก็อดที่จะถ่ายรูปนู่นนี่นั่นโน่นแบบละเลียดมุมไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ล่ะ ถึงทำให้ไม่ค่อยอยากเดินทางไปไหน ๆ กับคนอื่น เพราะคงมีไม่กี่คนที่ทนให้อิชั้นวิ่งพล่านไปได้ทั่วโดยไม่สนใจเค้าทุกทริป ๆ


ใครอยากดูภาพใหญ่ ๆ คลิ๊กที่รูปได้เลยนะคะ


 เฮ้อ..อยากอยู่ีถ่ายรูปที่นี่สักครึ่งวัน ^^


ใช้เวลาที่ทางทัวร์ให้มาหมดแล้วค่ะ เดี๋ยวเราจะต้องไปเที่ยวชมสถานที่ต่อไปกันต่อ หันหลับกลับไปเก็บภาพชุมชน แม้ค้าแม่ขายหน้าทางเขาโบสถ์กันสักแชะเนาะ



เที่ยวเมืองดาลัด ตอนที่ 4 (crazy house1)
เที่ยวเมืองดาลัด ตอนที่ 2 (ถนนคนเดิน)
เที่ยวเมืองดาลัด ตอนที่ 1 (สถานีรถไฟดาลัด)

เรื่องและภาพประกอบโดย Pacharawalai