วันศุกร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

มุ่งหน้าสู่เมืองเซี่ยงไฮ้ (Shanghai)


เช้านี้อิชั้นถูกปลุกขึ้นมาแต่มืดแต่ดึกตามเคยฮ่ะ T^T เป็นธรรมดาของการเดินทาง 4 วัน 6 หัวเมืองใหญ่ที่ต้องทำแต้มแข่งกับเวลาไปซะทุกที่ แต่ทำไงได้ล่ะเนอะ ขืนไม่บังคับตัวเองให้ลุกขึ้นมาตามที่ทัวร์นัด ก็มีหวังทิ้งให้กินข้าวเป็ดกับอาตี๋อาหมวยอยู่ที่นี่แน่ ๆ

โปรแกรมของเช้าวันนี้ก็คือเราจะต้องเดินทางออกจากเมืองอู๋ซีมุ่งหน้ากลับสู่ เมืองเซี่ยงไฮ้ เพื่อเที่ยวในสถานที่สำคัญ ๆ ตามโปรแกรมอีกหลายรายการเลยเชียวฮ่ะ ดังนั้นหลังอาหารเช้าในโรงแรม ล้อทั้ง 4 ของบัสเล็กก็หมุนติ้วเข้าสู่เมืองเซี่ยงไฮ้

ก่อนที่จะเที่ยวเมืองเซี่ยงไฮ้ ซึ่งถือเป็นเมืองใหญ่ที่มีความเจริญรุดหน้าและเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของจีน เรามาทำความรู้จักเมืองสำคัญแห่งนี้อย่างคร่าว ๆ กันสักเล็กน้อยนะคะ


เมืองเซี่ยงไฮ้นั้นคือเมืองที่เป็นเขตการปกครองอยู่ในระดับการปกครองแบบพิเศษ(แบบเทศบาลนคร) ฮ่ะ ซึ่งเมืองที่มีรูปแบบการปกครองลักษณะนี้ จัดอยู่ในกลุ่มเมืองที่ขึ้นตรงต่อรัฐบาลกลาง (จีนมีเมืองที่มีลักษณะการปกครองแบบพิเศษเช่นนี้อยู่ 4 เมืองด้วยกัน ได้แก่ เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง เทียนจิน และฉงชิ่ง) และมีสถานะเทียบเท่ากับมณฑลเลยทีเดียว ด้วยความที่เป็นเมืองที่ตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำแยงซีเกี่ยง ทำให้ที่นี่มีท่าเรือที่มีจำนวนเรือที่คับคั่งที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

ในอดีตเซี่ยงไฮ้เป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ มีอาณาเขตทางทิศเหนือติดต่อกับมณฑลเจียงซู ทิศใต้ ติดต่อกับมณฑลเจอเจียง ทิศตะวันออก ติดกับทะเลจีนตะวันออก และทิศตะวันตก ติดกับมณฑลเจียงซู และมณฑลเจอเจียง แต่ปัจจุบันนี้เซี่ยงไฮ้ได้กลายเป็นมหานครที่มีผู้คนอาศัยอยู่อย่างหนาแน่นที่สุดในจีน

นอกจากนี้แล้ว เซี่ยงไฮ้ (Shanghai) ยังได้รับการขนานนามว่าเป็น "นครปารีสแห่งตะวันออก" ด้วยฮ่ะ โดยที่นี่ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มมหานครไฮโซอันดับ 5 ของโลก (รองจาก กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. นิวยอร์ก ลอนดอน และ ปารีส) เป็นเมืองที่เป็นศูนย์กลางความเจริญในด้านต่าง ๆ เข้าไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการค้า การลงทุน เศรษฐกิจ แฟชั่น การท่องเที่ยว ที่นี่จึงถือเป็นสัญลักษณ์ของจีนยุคใหม่ ซึ่งคราคร่ำไปด้วยประชากรจีนในยุคใหม่ที่ถวิลหาทั้งความก้าวหน้าในชีวิตการงานและความทันสมัยน่ะนะคะ

สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวและสถานที่น่าสนใจภายในมหานครเซี่ยงไฮ้ ก็มีหลายแห่งด้วยกันฮ่ะ อาทิเช่น ถนนหนานจิง,วัดพระหยกขาว,หอไข่มุก,หาดเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ ซึ่งในตอนต่อไปของทริปถูกใจ เราจะพาไปเยือนสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญในแต่ละแห่งของนครเซี่ยงไฮ้ด้วยกันนะคะ



เรื่องและภาพประกอบโดย Pacharawalai
อ้างอิงข้อมูลจาก oceansmile.com/China/Chiahai.htm


วันพุธที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

รีวิวโรงแรม SNOW SEA SUZHOU HOTEL


โรงแรม SNOW SEA SUZHOU HOTEL ที่เราจะเข้าพักกันในค่ำคืนนี้จัดว่าเป็นโรงแรมสี่ดาวที่มีความเพียบพร้อมน่าพักอีกแห่งหนึ่งของเมืองซูโจวฮ่ะ ไม่ได้เก็บรายละเอียดอะไรมามากนัก เพราะนอกจากแบตตารี่กล้องจะอ่อนแล้ว แบตตารี่คนยังเหลือแค่ขีดเดียวอีกด้วย T^T (เหนื่อยมว้ากกก..) ขอเก็บเอาภาพบรรยากาศในห้องพักมาฝากกันเฉย ๆ ก็ละกันนิ


เตียงนอนนุ่มสบายใช้ได้ฮ่ะ บนห้องพักมีสัญญาณ wi-fi ด้วย แต่ก็อ่อนมาก ชนิดที่ต้องคลำหาพิกัดกันเป็นจุด ๆ เลยทีเดียว อาทิเช่น ถ้านอนเล่นหันไปทางหัวเตียง สัญญาณบอด ถ้าเขยิบมานั่งอยู่ปลายเตียงสัญญาณมา..โหย..นี่กะจะไม่ให้อิชั้นได้นอนสบาย ๆ ติดต่อสื่อสารกับโลกภายนอกเลยชิมิ


ที่เห็นเป็นกรอบประตูและมีกระจกฝ้าอยู่นั่น คือผนังห้องน้ำฮ่ะ.. o_O" คือแบบว่า ถ้าเข้าไปอาบน้ำถูฟันนั่งส้วมแล้วไม่ดึงม่านลงมาปิด เราก็จะกลายเป็นนางโชว์ในบัดดล อิชั้นไม่เข้าใจคนต้นคิดเลยจริง ๆ กระทั่งนั่งอึในห้องน้ำ ทำไมจะต้องทำตู้กระจกโชว์ให้คนอื่นเห็นด้วยฟระ..


วับ ๆ แวม ๆ เลือนลางพอให้ได้อารมณ์ ยังดีนะที่ซ่อนโถส้วมไว้ตรงผนังปูนจึ๋งนึง นี่ถ้ามาเป็นคู่ก็คงอร๊างงง..ดีหรอก แต่ถ้ามากะเพื่อนแล้วลืมปิดม่านนี่ งานนี้มีเฮแน่นแน่.....หุหุ..



โดยสรุปแล้วโรงแรมนี้จัดอยู่ในเกณฑ์ดีพอสมควรฮ่ะ ห้องพักไม่มีกลิ่นบุหรี่หรือกลิ่นอับ แม้ว่าสภาพโรงแรมและห้องจะไม่ได้ใหม่อะไรนัก แต่ก็มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบถ้วน เสียดายที่สัญญาณ wi-fi ไม่ค่อยดี ถ้าอยากจะเล่นให้แรง ๆ ก็ต้องไปนั่งถ่างตาอยู่แถวล้อบบี้ ซึ่ง ณ.จุดนั้น อิชั้นว่าอิชั้นนอนดีกว่า ในตอนหน้าเราจะเดินทางกลับสู่เมืองเซี่ยงไฮ้กันนะคะ แล้วกลับมาพบกันได้ใหม่กับทริปถูกใจครั้งหน้าค่ะ

SNOW SEA SUZHOU HOTEL
Add : 271 Xujiang Road,Suzhou
Tel : 0512-68228888
Fax : 0512-68120560



เรื่องและภาพประกอบโดย pacharawalai


วันอังคารที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

สนามรังนกแห่งเมืองซูโจว (ศูนย์เทคโนโลยีและศิลปวัฒนธรรมซูโจว)


กว่าจะเดินทางจากเมืองอู๋ซีมาถึง ซูโจว ก็เล่นเอาเย็นย่ำสนทยากันแล้วฮ่ะ ดังนั้นแทนที่จะได้เที่ยวชม สนามรังนกแห่งเมืองซูโจว หรือที่มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ศูนย์เทคโนโลยีและศิลปวัฒนธรรมซูโจว ก็เล่นเอามืดตึ้ดตื๋อ..มืดไม่มืดเปล่า แถมหนาวจิ๊ปเผงอีกด้วย T^T ดังนั้น พอกินข้าวกินปลากันเสร็จและรถพาคณะลูกทัวร์มาถึงด้านหน้าของสนามรังนกปั๊บ ก็เลยมีบรรดาคุณเจ๊และเหล่าบรรดาอาตี๋อาหมวยอาอึ้มทั้งหลายที่สมัครใจ ไม่ลงจากรถ !!!

เย้ย..มาถึงที่นี่แล้วนะเฟร้ย..ลงไปดูสักนี๊ดดนึงก็ยังดี..ให้เห็นว่าหน้าตาไอ้สนามรังนกนี่มันเป็นยังไง รู้ล่ะ..ว่ามันหนาว เรียกได้ว่าเดินกันไปแบบปากคอสั่น แต่อุตส่าห์ดั้นด้นกันมาถึงที่หมายแล้วจะไม่ลงไปดูมันก็คงกระไรอยู่

อย่ากระนั้นเลยฮ่ะ..เดินขาสั่นตามอิชั้นลงจากรถกันเถอะ >0<


โอ้โห....หะแรกที่อิชั้นเห็น สนามรังนกซูโจว ที่มีแสงไฟสีน้ำเงินส่องวับวามอยู่ในความมืด (ข่าวว่าไฟสีน้ำเงินนี้กระพริบเป็นสีอื่นได้ด้วยนะ) อิชั้นถึงกับต้องร้องอุทานอยู่ในอกเลยฮ่ะ....นี่พี่คุณพี่ปั่นไฟใช้เองใช่ป่ะเนี่ย ทำไมถึงประดับประดาแสงไฟซะอะร้าอร่ามขนาดนี้


ได้ข้อมูลเพิ่มเติมมาอีกนิด ว่าสนามรังนกซูโจวที่เห็นอยู่นี่ หน้าตาเป็นฝาแฝดกันกับสนามรังนกที่เมืองปักกิ่งฮ่ะ เนื่องจากใช้นักออกแบบคนเดียวกัน โดยการออกแบบนั้นได้รับแรงบันดาลใจจากสวนป่าซูโจว และก่อสร้างให้หันหน้าเข้าหาแม่น้ำตามหลักแห่งฮวงจุ้ยน่ะนะคะ

เสียดายที่ไม่ได้มาถึงช่วงกลางวัน แถมมีเวลาแวะให้ดูแป๊บเดียวพอให้รู้ว่ามาตามรายการทัวร์แล้วนะยะ งานนี้อิชั้นอดเข้าไปดูรายละเอียดหรืออะไรต่อมิอะไรใกล้ ๆ เลยง่ะ กระซิก กระซิก.. T^T

ตกลงเป็นอันว่างานนี้หมู่เฮาชาวคณะได้ชื่อว่ามาเที่ยวเมืองซูโจวกันเรีัยบร้อยแล้วฮ่ะ (เอิ่ม..มันใช่หรือคะคุณพี่) แม้ว่าจะเป็นการเหยียบย่างเท้าลงแผ่นดินซูโจวแค่ติ่งเดียวของเมืองก็เหอะ คิด ๆ ดูแล้วก็น่าเจ็บใจเหมือนกันเนอะ อุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามทะเลมาตั้งไกล เที่ยวได้แค่เนี้ยะ..เอาเป็นว่าไหน ๆ ก็ใช้เวลาอยู่ที่เมืองนี้แค่เล็กน้อย เรามาดูรายละเอียดของเมืองซูโจวเอาไว้เผื่อได้กลับมาเที่ยวซ่อมกันสักหน่อยดีกว่านะคะ

เมืองซูโจว (Su Zhou City) นั้นตั้งอยู่ที่มณฑลเจียงซูตอนใต้ฮ่ะ ที่นี่ถือเป็นอีกหนึ่งเมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นพิเศษของจีน เป็นเมืองสำคัญทั้งทางด้านการศึกษา ศิลปะ วัฒนธรรม การขนส่งและขึ้นชื่อว่าเป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจของจีนอีกด้วย

ถามว่าเมืองนี้มีอะไรดี ? นั่นสิ..เมืองนี้มีอะไรดี ปี ๆ นึงถึงได้มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวกันมากหน้าหลายตา ซูโจวนั้นนับว่าเป็นเมืองแห่งประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมฮ่้ะ ที่นี่เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ในเมืองและนอกเมืองเต็มไปด้วยสวนโบราณ โดยในช่วงศตวรรษที่ 16-18 ซูโจวนั้นมีสวนโบราณมากกว่า 200 แห่ง (ปัจจุบันมีสวนที่ได้รับการบูรณะและอนุรักษ์อย่างสมบูรณ์แล้วกว่า 10 แห่ง) นอกจากนี้ยังมีลำคลองต่าง ๆ มากมายเป็นอันดับหนึ่งในลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียงตอนใต้ เรียกได้ว่าเป็นเมืองที่มี่ชื่อเสียงทั้งทางด้านความงาม สายน้ำขุนเขา และสวนโบราณ จนได้รับการย่องย่องในคำกล่าวประโยคหนึ่งว่า "สวนโบราณแห่งเจียงหนาน สุดยอดในปฐพี สวนโบราณแห่งซูโจว สุดยอดในเจียงหนาน” และได้รับฉายาว่าเป็น “เมืองสวรรค์ในโลกมนุษย์” ทีเดียวนะคะ

เที่ยวชมสนามรังนกแห่งเมืองซูโจวกันเรียบร้อยแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวแล้ว T^T เดี๋ยวเราไปเข้าที่พักกันนะคะ



เรื่องและภาพประกอบโดย Pacharawalai
อ้างอิงข้อมูลจาก thai.cri.cn/441/2010/06/28/242s176765.htm


วันจันทร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ชมการแสดงที่ลานน้ำพุ วัดเขาหลิงซาน

ยิ่งใกล้เวลาบ่ายสองโมงเข้าไป ผู้คนที่เดินทางมาเที่ยวหรือมาสักการะ พระใหญ่แห่งวัดเขาหลิงซาน ก็ยิ่งมากขึ้นทุกขณะฮ่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริเวณลานน้ำพุ เจ้าชายสิทธัตถะ ซึ่งจะเป็นส่วนจัดแสดงของน้ำพุประกอบดนตรีและบทสวดมนต์ จำลองการประสูติของพระพุทธเจ้าที่ถือกำเนิดในดอกบัว ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อมันเป็นไฮไลต์ของที่นี่ซึ่งจัดแสดงเพียงรอบเดียวต่อวัน จึงมีบรรดาอาตี๋อาหมวย อาอึ้มอาซ้อ ทั้งหลายมาเป็นเพื่อนร่วมลานด้วยอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง


อุ๊ย...อบอุ่นจุงเบย..เอ๊ย..อบอุ่นจังเลย T^T 


บ่ายสองโมงตรงเผง..การแสดงก็เริ่มขึ้น..หัวจ่ายน้ำแรงดันสูงดันเริ่มดันสายน้ำออกมาเป็นจังหวะ


สายน้ำเริ่มฉีดแรงขึ้น สูงขึ้น ในขณะเดียวกันกับที่ฐานดอกบัวก็เริ่มหมุนไปรอบ ๆ ดังนั้นไม่ว่าจะเรานั่งหรือยืนชมอยู่จุดไหนของลานน้ำพุ ก็จะได้เห็นการแสดงโดยทั่วถึงกันหมดน่่ะนะคะ


ดอกบัวค่อย ๆ บานออก เผยให้เห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจำลองเมื่อครั้งแรกประสูตรมากขึ้นทุกที ลมแรงมากฮ่ะ ดังนั้นละอองน้ำพุที่ปลิวมาตามแรงลมก็เลยฟุ้งไปทั่ว ผู้คนที่มารวมกัน ณ.ลานน้ำพุแห่งนี้ก็เลยเหมือนจะได้รับการประพรมน้ำมนต์โดยทั่วถึงกัน


ระหว่างชมการแสดง เอาเกล็ดความรู้มาฝากกันสักหน่อยนึงละกันเนาะ ว่ากันว่าตามพุทธประวัติ เมื่อพระพุทธเจ้าทรงประสูตรมาเป็นพระกุมารสิทธัตถะ ท่านได้ทรงยืนและย่างพระบาทโดยมีดอกบัวผุดขึ้นมารองรับได้ถึง 7 ก้าว โดยหันพระพักตร์ไปทางทิศเหนือ และเปล่งอาสภิวาจาออกมาว่า "เราเป็นผู้เลิศแห่งโลก เราเป็นผู้เจริญที่สุดแห่งโลก เราเป็นผู้ประเสริฐสุดแห่งโลก ชาตินี้ เป็นชาติสุดท้าย บัดนี้ ภพใหม่ย่อมไม่มี"


เอิ่ม..อ่านเกล็ดความรู้คั่นเวลากันไปแล้ว ทีนี้ก็กลับมาดูการแสดงน้ำพุประกอบบทสวดมนต์กันต่อ แหะ ๆ อิชั้นว่ามันก็เหมือนกับพวก น้ำพุเต้นระบำแถวบ้านเราแฮะ คือจะมีหัวฉีดน้ำพุแรงดันสูงค่อย ๆ ฉีดสายน้ำออกมาเป็นจังหวะ ๆ ระหว่างนั้นก็จะมีการบรรยายและบทสวดมนต์เป็นภาษาจีนประกอบด้วย...อิชั้นยืนฟังอย่ืางตั้งใจเค่อะ แม้ว่าจะไม่เข้าใจห่ามอะไรเลยสักคำนึงก็เหอะ (ขอวุ้่นแปลภาษาของพี่ม่อนเป็นของว่างสักถาดนึงได้มั้ยเค๊อะ >0<)


เมื่อจบการแสดง ก็จะมีผู้คนพากันนำภาชนะ ไม่ว่าจะเป็นแก้ว ขวด หรืออะไรต่าง ๆ มารองน้ำมนต์ที่ไหลบ่าลงมาจากภายในดอกบัว ถือเป็นน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นสิริมงคลแก่ผู้ที่ได้รับน่ะนะคะ

ในตอนหน้าของทริปถูกใจ เราจะไปเที่ยวชม สนามรังนกของซูโจวกันฮ่ะ แล้วกลับมาพบกันได้ใหม่ในครั้งหน้านะคะ



เรื่องและภาพประกอบโดย Pacharawalai