วันพุธที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ช้อปปิ้งบนถนนนานกิง


สถานที่ท่องเที่ยวที่มีทั้งนักท่องเที่ยวชาวจีนเองและชาวต่างชาติมาเยือนกันอย่างมากมายอีกสองแห่งที่จะพลาดเสียไม่ได้เมื่อมาเยือนนคร เซี่ยงไฮ้ แห่งนี้ ก็คือ ถนนนานกิง และ ตลาดร้อยปี หรือที่เราเรียกว่า ตลาดเฉิงหวังเมี่ยว นั่นเองน่ะนะคะ ซึ่งที่แรกที่เราจะพาไปเยือนกันในวันนี้ก็คือ แหล่งช้อปปิ้งขึ้นชื่อในแถบถนนนานกิง ซึ่งมีลักษณะคล้าย ๆ กับย่านสีลมของเมืองไทยเรานั่นเองฮ่ะ


ถนนนานกิง หรือ นานกิงลู่ ก็คือแหล่งช้อปปิ้งสตรีท หรือถนนคนเดินถือเป็นย่านช็อปปิ้งที่ไม่เคยหลับใหลและเก่าแก่ที่สุดของเซี่ยงไฮ้เลยทีเดียวฮ่ะ ที่นี่อยู่ไม่ไกลจากหาดเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ หรือหาดไว่ทันนัก และมีความยาวมากกว่า 5 กม. โดยเป็นแหล่งขึ้นชื่อในเรื่องของการช็อปปิ้งสินค้าแบนด์เนมต่าง ๆ จากทุกมุมโลก


จากการสอบถามข้อมูลเล็กน้อยจากทางไกด์ท้องถิ่น ทราบว่าที่นี่ถือว่าเป็นถนนเอนกประสงค์ของชาวเซี่ยงไฮ้เลยก็ว่าได้ค่ะ เนื่องจากในยามเช้า ๆ ที่นี่จะมีผู้คนโดยเฉพาะผู้สูงอายุมาออกกำลังกายกัน ทั้งรำกระบี่ ไทเก๊ก รำพัด แต่พอสายหน่อยก็จะกลายเป็นแหล่งช็อปปิ้ง มีห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร ร้านค้ามากมาย และจะเปิดให้รถประจำทางวิ่งเฉพาะช่วง 9 โมงเช้าถึง 6 โมงเย็นเท่านั้น พอหลังจาก 6 โมงเย็นทีนี้ก็จะปิดถนนให้เฉพาะคนเดินเท่านั้นฮ่ะ


อิชั้นเริ่้มขี้เกียจถ่ายรูปละ (อ้าว..เฮ้ย !!??) เอาคลิปไปดูบรรยากาศกันบ้างละกันเนาะ.. :P



เรื่องและภาพประกอบโดย Pacharawalai


วันศุกร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2556

หาดเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ (ไว่ทัน)

หลังจากเที่ยวชมความงามมุมสูงของนคร เซี่ยงไฮ้ จากบนยอดหอไข่มุกอันเลื่องชื่อ ซึ่งถือเป็นไฮไลต์ที่นักท่องเที่ยวเกือบทุกคนจะต้องมาเยือนแล้ว หมู่เฮาชาวคณะก็เดินทางต่อกันไปยังสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งของเซี่ยงไฮ้ฮ่ะ

เราจะไปเยือน หาดเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ หรือ "ไว่ทัน" กันนะคะ

หาดเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้นั้น เป็นอีกหนึ่งสิ่งก่อสร้างที่ถูกยกระดับให้เป็นสัญลักษณ์แห่งความเจริญรุ่งเรืองของจีนยุคใหม่ฮ่ะ สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ในบริเวณริมแม่น้ำหวงผู่ ห่างเพียงถนนจงซานกั้น ซึ่งนอกจากจะได้ชมวิวทิวทัศน์อันสวยงามของแม่น้ำหวงผู่แล้ว ยังเต็มไปด้วยตึกและอาคารทรงสูงที่ออกแบบในสไตล์ยุโรป ตั้งเลียบไปตามส่วนโค้งของแม่น้ำยาวเหยียดสุดลูกหูลูกตาเลยทีเดียว


ประมาณด้วยสายตาแล้ว ความสง่างามของสถาปัตยกรรมยุโรปที่เรียงรายบนถนนจงซานนั้น ยาวนับกิโลเมตรเลยทีเดียวค่ะ (ฝรั่งเรียกแถบนี้ว่า เดอะบันต์) นอกจากนี้แล้วเมื่อมองไปยังฝั่งตรงกันข้ามของแม่น้ำ เราก็จะได้เห็นหอคอยสูง หรือหอคอยไข่มุก ตั้งตระหง่านสวยงามอย่างชัดเจนอีกด้วย


ลมก็แรง หนาวก็หนาว ฟ้าก็หลัว แถมแดดก็หลบ..งื้ดดด.....แต่เราก็บ่ยั่น (ถึกจริงนะน้องนาง 555+)

ผู้คนที่มาเที่ยวชมหาดไว่ทันแห่งนี้มีล้นหลามทีเดียวฮ่ะ ถึงขนาดคุณไกด์ต้องออกปากเตือนว่า อย่าพกของมีค่าลงไปเดินจะดีกว่า เนื่องจากเมื่อมีคนเยอะ ก็ย่อมมีมิจฉาชีพแยะตามไปด้วย หรือถ้าใครจำเป็นต้องถือของมีค่าต่าง ๆ ลงไป ก็ให้ไขว้กระเป๋ามาแขวนทางด้านหน้าแล้วกอดไว้ เหอ ๆ ๆ อิชั้นว่า อิชั้นเอาไปแต่กล้องดีกั่วมะ..o_O"


ยังกะอยู่ในเมืองยุโรปแน่ะ..เนอะ


เห็นสถาปัตยกรรมแบบทางยุโรปอื้ออึงขนาดนี้ ทำให้อิชั้นต้องนึกย้อนกลับไปอิ่ตอนที่แล้ว ที่เล่าถึงการเข้ามาครอบครองหาผลประโยชน์จากจีนของชาวยุโรปและชาวต่างชาติในช่วงหนึ่งของประวัติศาตร์ฮ่ะ (ใครอยากอ่านย้อนหลัง กลับไปรื้อดูทริปถูกใจตอนที่แล้วเด้อ) สมัยก่อนนั้นเซี่ยงไฮ้เป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ เท่านั้นเองฮ่ะ เหตุการณ์มาพลิกผันเมื่อจีนเริ่มมีการประดิษฐ์คิดค้นวงล้อปั่นด้ายสำเร็จ ที่นี่จึงเริ่มมีการทอผ้ากันอย่างแพร่หลาย ซึ่งต่อมาก็ได้กลายเป็นสินค้าที่มีชื่อเสียงของเซี่ยงไฮ้ไปโดยปริยาย จากนั้นเมื่อมีการเปลี่ยนราชวงศ์จากราชวงศ์หยวนมาเป็นราชวงศ์หมิง เซี่ยงไฮ้ก็ถูกใช้เป็นหนึ่งในเมืองท่าและการเดินทางออกสู่ทะเล เนื่องจากถือว่าพื้นที่แห่งนี้เป็นประตูสู่แม่น้ำแยงซีเกียง ซึ่งเป็นหนึ่งในเส้นเลือดใหญ่ของจีน


สถานการณ์การเป็นประตูสู่การค้าและการติดต่อกับซีกโลกตะวันตกของชาวจีนดำเนินเรื่องมาจนถึงกลางศตวรรษที่ 19 ฮ่ะ เมื่ออังกฤษส่งคนเข้ามาตั้งรกราก เพื่อกอบโกยผลประโยชน์จากการค้าฝิ่น  มีการเข้ามากอบโกยทรัพยากรจากจีน ซึ่งในเวลาต่อมา ชาติอื่น ๆ ก็เข้ามากอบโกยด้วย เช่น อเมริกา ฝรั่งเศส เยอรมัน ญี่ปุ่น ซึ่งพวกนี้เข้ามาได้โดยอาศัยสนธิสัญญานานกิงที่จีนจำใจทำไว้กับอังกฤษ ทำให้ต่างชาติเหล่านั้น มีสิทธิ์ในการเช่าที่ดินปลูกบ้านพักอาศัยเป็นการถาวรด้วย ซึ่งในเวลาต่อมาก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นของ "เขตเช่า" นั่นเองน่ะนะคะ

ในตอนหน้าใครชอบช้อปปิ้ง เราจะไปเดินแด่มแด้มกันแถวถนนนานกิง ซึ่งเป็นย่านเศราฐกิจที่เฟื่องฟูที่สุดในนครเซี่ยงไฮ้กันค่ะ แล้วกลับมาพบกันได้ใหม่ในครั้งหน้านะคะ


เรื่องและภาพประกอบโดย Pacharawalai



วันเสาร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2556

พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้ง หอไข่มุก นครเซี่ยงไฮ้ ตอนที่ 2


เี่รายังคงเดินเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งซึ่งจัดแสดงประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และชีวิตความเป็นอยู่ของชาวจีนเซี่ยงไฮ้ในบริเวณชั้นล่างของหอไข่มุกกันอยู่นะคะ

หากจะถามว่าอิชั้นชอบการจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งนี้มั้ย คืออย่างน้อยอิชั้นก็ชอบฮ่้ะ จริง ๆ ที่ชอบก็เพราะพื้นฐานเป็นคนที่ค่อนข้างจะชอบท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์อยู่แล้ว การได้เดินทางไปชมเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของแต่ละประเทศ จึงถือว่าเป็นกำไรเล็ก ๆ ในชีวิตของตัวเองอ่ะนะคะ


เมื่อตอนที่แล้ว ขณะเดินเที่ยว อิชั้นได้เล่าให้ฟังถึงปัญหาการติดฝิ่นของชาวจีนในยุคหนึ่ง ซึ่งค่อนข้างจะมีความร้ายแรงเนื่องจากมีการระบาดไปทั่ว จนถึงในรัชสมัยของจักรพรรดิ์เต้ากวง ซึ่งมีดำริที่จะปราบปรามการค้าฝิ่นให้สิ้นซาก จึงได้มอบตำแหน่งให้ หลินเจ๋อสวี ขึ้นเป็นผู้ตรวจราชการสองมณฑล และดำเนินการกวาดล้างฝิ่นอย่างเข้มงวด


ภาพแสดงวิถีชีวิตของคนจีน(ชาวเซี่ยงไฮ้)ในสมัยโบราณฮ่ะ..จะเห็นได้ว่าในขณะที่ผู้หญิงเลี้ยงลูก ผู้ชายก็นอนดูดฝิ่นอยู่ใกล้ ๆ


หลินเจ๋อสวีนั้น ได้เริ่มงานด้วยการห้ามค้าฝิ่นในมณฑลกวางตุ้งฮ่ะ จากนั้นจึงจับพ่อค้าฝิ่นชาวจีนไปคุมตัวในเรือนจำ ใครค้า่ฝิ่นจะต้องโทษถูกประหารและเสียบหัวประจาน เพื่อให้ชาวจีนเกิดความเกรงกลัวจะได้ไม่ค้าฝิ่นอีก นอกจากนี้ยังพยายามฟื้นฟูสุขภาพของชาวจีนที่ติดฝิ่น รณรงค์การอดฝิ่น เรียกว่าทำทุกวิถีทางเพื่อให้ประชาชนที่ติดฝิ่นสามารถเลิกเสพได้


นอกจากนั้นหลินเจ๋อสวีก็ยังสั่งห้ามเรือของพ่อค้าต่างชาติไม่ให้บรรทุกฝิ่นเข้ามาในอาณาจักรจีนเด็ดขาดฮ่ะ มีการประกาศให้พ่อค้าต่างชาติที่มีฝิ่นในครอบครอง ต้องนำฝิ่นมาส่งมอบให้ทางการจีน แต่ก็ไม่เป็นผลแต่อย่างใด พ่อค้าชาวต่างชาติก็ยังคงดื้อแพ่งและค้าฝิ่นกันต่อไป ที่สุดหลินเจ๋อสวีจึงได้สั่งปิดล้อมย่านการค้าของคนต่างชาติ และบีบให้พ่อค้าต่างชาติส่งฝิ่นให้ทางการจีน


หลังจากปิดล้อมย่านการค้าของชาวต่างชาติอยู่สองวัน พวกพ่อค้าต่างชาติก็ยอมมอบฝิ่นออกมาในที่สุด ฝิ่นที่ยึดได้ครั้งนี้ หลินเจ๋อสวีสั่งให้เอาละลายกับกรดน้ำส้มกับเกลือและน้ำ เพื่อฆ่าฤทธิ์ของฝิ่น แล้วก็โยนทิ้งทะเล ซึ่งผลจากการเอาจริงเอาจังในการปราบปรามของหลินเจ๋อสวี ทำให้ชาวต่างชาติโดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่อค้าชาวอักฤษ ไม่พอใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากสูญเสียผลประโยชน์มหาศาล แต่เนื่องจากฝิ่นนั้นเป็นสินค้าที่มีมูลค่าสูงและทำกำไรงาม จึงยังคงมีพ่อค้าชาวต่างชาติทั้งชาวอักฤษและโปรตุเกส ลักลอบค้ากันต่อไป แต่ได้เปลี่ยนฐานการค้าจากมณฑลกวางตุ้งไปอยู่ที่ ฮ่องกงและมาเก๊าแทน 


ความขัดแย้งของทางการจีนในเรื่องของการปราบปรามฝิ่นอันเนื่องมาจากการค้าของพ่อค้าชาวต่างชาติ ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นฮ่ะ และที่สุดเมื่อชาวจีนถูกกะลาสีเรือชาวอังกฤษฆ่าตายที่เกาลูน และอังกฤษไม่ยอมส่งตัวผู้ก่อเหตุมารับโทษตามกฎหมายจีนตามคำขอของหลินเจ๋อสวี ทำให้หลินเจ๋อสวีขับไล่ชาวอังกฤษทั้งหมดออกจากมาเก๊า ส่งผลให้รัฐบาลอังกฤษถือเป็นเป็นเหตุให้ทำสงครามกับจีน


แต่ด้วยความที่แสนยานุภาพทางการทหารและอาวุธต่างกันโดยสิ้นเชิงฮ่ะ ที่สุดจีนก็ต้องพ่ายแพ้ต่ออังกฤษ และต้องทำสัญญาสงบศึกที่ชาวจีนถือว่าอัปยศที่สุด ก็คือ สนธิสัญญานานกิง โดยเนื้อหาหลัก ๆ ก็คือ อังกฤษได้บังคับให้จีนเปิดเมืองท่าตามชายทะเลเพื่อค้าขายกับอังกฤษ และขอสิทธิสภาพนอกอาณาเขตเหนือดินแดนจีน (ทำผิดกฎหมายในประเทศจีนแต่ไม่ต้องขึ้นศาลจีน) รวทั้งสิทธิใด ๆ ที่ชาวอังกฤษได้รับ ชาวต่างชาติอื่น ๆ ก็จะต้องได้รับด้วย


 เบื่อยัง..5555+ บอกแล้วว่าอิชั้นเป็นคนเล่าอะไรเล่ายาว ภาพบนนี่ถ่ายเจาะ้เข้าไปในอาคารจำลองฮ่ะ คนชอบโมเดลย่อส่วนน่าจะชอบ


ไม่อยากเล่าเยอะ เดี๋ยวคนที่ตามมาเที่ยวจะเบื่อกันซะก่อน แหะ ๆ ทิ้งท้ายกันด้วยภาพในภัตาคารจีนในสมัยโบราณของนครเซี่ยงไฮ้ละกันเนอะ


ในตอนหน้าของบล็อกทริปถูกใจ เราจะไปเที่ยวชมสถานที่ที่เป็นไฮไลต์ของเมืองเซี่ยงไฮ้กันต่อค่ะ แล้วกลับมาพบกันได้ใหม่ในครั้งหน้านะคะ



เรื่องและภาพประกอบโดย Pacharawalai
อ้างอิงข้อมุลจาก วิกิพีเดีย


วันศุกร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้ง หอไข่มุก นครเซี่ยงไฮ้


หลังจากชมความงามในมุมสูงของนคร เซี่ยงไฮ้ ที่ระดับความสูง 267 เมตรจนจุใจแล้ว เราก็เกาะลิฟท์ลงมาชมพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้ง ที่อยู่บริเวณชั้นล่างของหอคอยกันบ้างฮ่ะ

พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้ง ที่จัดแสดงที่ หอไข่มุก แห่งนี้ คือพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงหุ่นขี้ผึ้งในลักษณะของการใช้ชีวิตความเป็นอยู่ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและความเป็นมาของนครเซี่ยงไฮ้ฮ่้ะ ด้านในพิพิธภัณฑ์จะจำลองร้านรวงต่าง ๆ ในสมัยจีนโบราณ ไม่ว่าจะเป็นร้านรวงต่าง ๆ หรือการใช้ชีวิตประจำวัน เรามาเดินชมแต่ละส่วนไปพร้อม ๆ กันนะคะ


เข้ามาภายในพิพิธภัณฑ์ ชั้นแรกจะมีจัดแสดงรถโบราณชนิดต่าง ๆ ที่มีใช้กันภายในเมืองเซี่ยงไฮ้ก่อนเลยฮ่ะ ซึ่งหน้าตาของรถโบราณเท่าที่เห็น ก็จะคล้าย ๆ รถโบราณของทางฝั่งยุโรปนั่นล่ะ


เมืองจีนในสมัยก่อนนั้นเปรีียบได้กับผลแตงโมลูกใหญ่ฮ่ะ คือเป็นผลแตงโมที่หวานฉ่ำที่มีคนต่างชาติเข้ามากอบโกยและแสวงหาผลประโยชน์กันมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสมัยราชวงศ์ชิงซึ่งเป็นราชวงศ์สุดท้ายก่อนการถูกปฏิวัติมาเป็นระบอบสาธารณรัฐโดย ซุน ยัดเซ็น ซึ่งช่วงนั้นถือเป็นช่วงที่จีนเกิดความรำส่ำระสายและความขัดแย้งขึ้นมากมายเลยทีเดียว ซึ่งหากจะให้อิชั้นเล่าแล้ว..คงยาวอ่ะฮ่ะ อุอุ..ยาวแต่สนุกนะ อยากฟังเปล่าาา..(ตึ่งโป๊ะ อุอุ..)


เล่าให้ฟังแบบย่นย่อละกันนิ ฟังไปชมภาพที่เก็บมาฝากกันไปพลาง ๆ ก็ละกัน เพราะอิ่ตาไกด์ท้องถิ่นประจำทริป ไม่ได้เข้ามาอรรถาธิบายแต่ละส่วนของพิพิธภัณฑ์ให้ฟังเลย(ฮ่วย) อาศัยความรู้พื้นฐานของอดีตนิสิตภาควิชาประวัติศาสตร์มาเล่าสู่กันฟังสักเล็กน้อยก็ละกัน


สมัยราชวงศชิงนั้น ก็คือรัชสมัยสุดท้ายที่ประเทศจีนปกครองโดยจักรพรรดิ์ฮ่ะ ความขัดแย้งในรัชสมัยนี้เกิดขึ้นเนื่องจาก ผู้ที่ก่อตั้งราชวงศ์นั้นคือชนกลุ่มน้อยของประเทศจีน นั่นก็คือ ชาวแมนจูแทนที่จะเป็นชาวฮั่นซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ของประเทศ ดังนั้นเมื่อชาวแมนจูสามารถยึดครองเมืองหลวงและปกครองประเทศได้ ก็ได้ออกกฎต่าง ๆ นานา เพื่อบังคับให้ชาวฮั่นอยู่ในอำนาจของตน อาทิเช่น การออกกฎให้ชาวฮั่นแต่งกายแบบชาวแมนจู การบังคับให้ชาวฮั่นไว้ทรงผมแบบชาวแมนจู โดยการโกนผมครึ่งหัวและถักเปียยาวซึ่งก็ขัดแย้งกับประเพณีของชาวฮั่นที่ห้ามตัดผม ซึ่งกว่า 258 ปีที่ชาวแมนจูปกครองจีนนี้ จีนได้เกิดกบฎขึ้นหลายครั้งหลายหน เนื่องจากความคับแค้นใจที่ถูกกดขี่ต่าง ๆ นานา


ถามว่าหากเกิดความขัดแย้งระส่ำระสายมากมายขนาดนั้น ทำไมชาวแมนจูจึงได้ปกครองชาวฮั่นและเมืองจีนได้นานถึง 258 ปี คำตอบก็คือ เพราะราชวงศ์ชิงฉลาดในการแก้ปัญหาค่ะ โดยการแก้ไขสถานการณ์ของราชวงศ์ชิง จะใช้ยุทธวิธีสองอย่างด้วยกัน ทั้งแบบประนีประนอมและแข็งกร้าว ซึ่งรายละเอียดยุทธวิธีทั้งสองอย่างนั้น หากใครสนใจก็สามารถหารายละเอียดเพิ่มเติมอ่านได้ทั่วไปน่ะนะคะ (คือ..ตกลงแกขี้เกียจเล่าชิมิ 5555+)


ราชวงศ์ชิงได้ปกครองจีนมานานเกือบ 300 ปีฮ่ะ ซึ่งในช่วงต้นราชวงศ์ก็มีความเจริญรุ่งเรืองพอสมควร จนกระทั่งในช่วงพุทธศตรวรรษที่ 24 ราชวงศ์ชิงก็เริ่มอ่อนแอลง เนื่องจากมีความขัดแย้งอย่างรุนแรงของกลุ่มคนในวงการต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการเมือง มีการฉ้อราษฐร์บังหลวง และทำสงครามอย่างบ่อยครั้ง จักพรรดิ์เฉียนหลง กษัตริย์ในช่วงนั้นก็เจ้าสำราญ ใช้ชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือย เงินท้องพระคลังก็ขัดสน ชาวบ้านยากจนข้นแค้นเนื่องจากประชากรเพิ่มขึ้น ขาดแคลนที่ดินทำกิน ประกอบกับต้องพบเจอกับภาวะความกดดันจากภายนอก มหาอำนาจต่างชาติเริ่มเข้าสู่ยุคล่าอาณานิคม ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อจีนอ่อนแอก็หนีไม่พ้นที่จะต้องถูกชาวต่างชาติเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์อย่างช่วยเหลือตัวเองไม่ได้


การเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ของชาวต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวอังกฤษเริ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ฮ่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การค้าฝิ่น ซึ่งถือเป็นสิ่งเสพติดที่ทำให้ผู้คนติดกันอย่างหนัก และระบาดไปทั่วประเทศ


ดังนั้นในสมัยจักรพรรดิ์เต้ากวง ซึ่งทรงมีพระราชดำริจะปราบปรามการค้าฝิ่นให้สิ้นซาก จึงได้ทรงแต่งตั้งให้หลินเจ๋อสวี เป็นผู้ตรวจราชการสองมณฑล และเป็นผู้นำในการกวาดล้างฝิ่นให้หมดไปจากแผ่นดินจีน


เดินชมในส่วนของพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ของเมืองเซี่ยงไฮ้ไปเรื่อย ๆ นะคะ ฮุฮุ..ใครขี้เกียจอ่านประวัติศาตร์จีนก็ข้าม ๆ ไปก็ได้เน้อ..แหะ ๆ อิชั้นเสียนิสัยอยู่อย่างนึง เวลาเล่าอะไรแล้ว ชอบเล่ายาว ๆ ง่ะ


บรรยากาศในตลาด


ร้านขายเนื้อ


 ร้านขายเหล้า


ในตอนหน้าของบล็อกทริปถูกใจ เรามาเดินเที่ยวชมภายในพิพิธภัณฑ์กันต่อนะคะ เดี๋ยวจะเหน็บเอาความเข้มข้นในช่วงของการเกิดสงครามฝิ่นในเมืองจีนมาฝากกันอีกสักเล็กน้อยด้วยค่ะ

แล้วกลับมาพบกันได้ใหม่ในครั้งหน้านะคะ



เรื่องและภาพประกอบโดย Pacharawalai
อ้างอิงข้อมูลจาก วิกิพีเดีย




วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ชมวิวมุมสูงของนครเซี่ยงไฮ้ จากหอไข่มุก (The Oriental Pearl Tower)


เมื่อตอนที่แล้วของบล็อกทริปถูกใจ อิชั้นได้โปรยปกไปนี๊ดด..นึงแล้วอ่ะนะคะ ว่า หอไข่มุก นั้นเป็นหอคอยที่สูงที่สุดเป็นอันดับสองของเอเชียเรา และมีความสูงเป็นอันดับ 5 ของโลก โดยมีความสูงอยู่ที่ระดับ 468 เมตร และแน่นอนฮ่ะ เมื่อได้ขึ้นชื่อว่าเป็น หอไข่มุก ก็ต้องมีลักษณะที่จำลองรูปแบบตัวอาคารเหมือนการนำเอามุกมาเรียงร้อยกัน โดยในส่วนบนของตัวอาคารนั้นก็จะประกอบด้วยโดมทรงกลมคล้ายมุก 3 เม็ด โดยมุกแต่ละเม็ด หรือตัวอาคารแต่ละชั้น ก็จะประกอบไปด้วยพื้นที่ใช้งานแตกต่างกัน ซึ่งก็ได้แก่

  • ไข่มุำกเม็ดล่าง ใช้เป็นส่วนของพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงประวัติศาสตร์ความเป็นมาของนครเซี่ยงไฮ้
  • ไข่มุกเม็ดกลาง ใช้เป็นสถานีรับส่งสัญญาณวิทยุโทรทัศน์
  • และไข่มุกเม็ดบนสุด จะเป็นส่วนที่ใช้เป็นร้านอาหาร,ร้านค้าและโรงแรมหรู

นอกจากนี้แล้วบริเวณส่วนล่้างของ หอไข่มุก ยังถูกค้ำยันไว้ด้วยเสาอีก 3 ต้น และตัวโดมที่มีลักษณะกลมเหมือนไข่มุกอีกจำนวนหนึ่ง (รวมกันแล้วนับได้ 11 เม็ด) ซึ่งแน่นอนฮ่ะ ว่าการจะขึ้นไปชมวิวทิวทัศน์ของนครเซี่ยงไฮ้่จากมุมสูงนั้นเราก็จะต้องขึ้นลิฟต์ไป (หากปล่อยให้อิชั้นเดินขึ้นไป อาจจะใช้เวลาประมาณสามวันครึ่ง T^T) โดยในส่วนของจุดชมวิวนั้น ก็จะอยู่ที่ระดับความสูง 267 เมตรน่ะนะคะ

เรามาชมความงามของนครเซี่ยงไฮ้จากมุมสูงกันค่ะ


ในส่วนของจุดชมวิวนั้นจะมีลักษณะเป็นกระจกล้อมรอบตัวโดม โดยเราจะสามารถเดินชมได้ทั้ง 360 องศาเลยทีเดียว


มองลงไปจากกระจกบานนี้ เห็นแม่น้ำหวงผู่และตึกรามบ้านช่องอันทันสมัยของนครเซี่ยงไฮ้อย่างเต็มตาค่ะ ก็คงเหมือนกับริมแม่น้ำเจ้าพระยาบ้านเราแหละเนอะ


ปัจจุบันหอไข่มุกนี้ถือเป็นสัญลักษณ์ของนครเซี่ยงไฮ้ไปซะแล้วฮ่ะ คาดว่าปี ๆ หนึ่ง จะมีผู้มาเที่ยมชมวิวของเมืองเซี่ยงไฮ้จากระดับความสูง 267 เมตรกันหลายสิบล้านคน


ใครอยากชมความงามของเซี่ยงไฮ้แบบเจาะลึก สามารถใช้บริการกล้องส่องทางไกลแบบหยอดเหรียญได้นะคะ แต่อิชั้นไม่มีเหรียญจะหยอดอ่ะก็เลยอดดูไปโดยปริยาย


นอกจากจะชมความงามกันจากกระจกหน้าต่างบนหอคอยแล้ว เมื่อลงบันไดมาอีกหนึ่งชั้นเราก็จะพบกัน แถ่น แทน แถ้นนนน...จุดชมวิวชนิดพื้นกระจกค่าาาาา..<3


อุแม่เจ้า..มันเป็นพื้นกระจกจริง ๆ นะตะเอ๊งงง.... >0</


อิชั้นไม่รู้ว่ามันจะแข็งแรงเพียงใด แต่นาทีนั้น ขอเหยียบเพื่อเพิ่มความหวาดเสียวสะใจให้กับตัวเองหน่อยเหอะ..


ตื่นเต้นดีเหมือนกันนะเนี่ย..อิอิ..มันหลอน ๆ ขาอ่ะ..


ไม่ได้ถ่ายให้เห็นหน้า ถ่ายให้เห็นขาตัวเองก็ยังดี :P


เดี๋ยวเราลงไปเดินเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์และความเป็นมาของนครเซี่ยงไฮ้ที่ด้านล่างกันต่อนะคะ แล้วกลับมาพบกับทริปถูกใจได้ใหม่ในครั้งหน้าค่ะ



อ้างอิงข้อมูลจาก วิกิพีเดีย
เรื่องและภาพประกอบโดย Pacharawalai


วันพุธที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

หอไข่มุก (The Oriental Pearl Tower)


จริง ๆ แล้วความสุขอย่างหนึ่งของการเดินทางของอิชั้นก็คือ การได้เก็บภาพศิลปะวัฒนธรรมความเป็นอยู่ของผู้คน หรือการถ่ายภาพแนว street life นั่นเองฮ่ะ แต่ปัญหาของการเดินทางกับทัวร์หรือกลุ่มคนจำนวนมาก ก็คือเราไม่สามารถอ้อยอิ่งอยู่บนถนนหนทาง หรือเดินลัดเลาะตามตรอกซอกซอยเพื่อเก็บเกี่ยวสิ่งที่เราสนใจได้ เพราะทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับเวลาและความพร้อมเพรียงของหมู่คณะ ดังนั้นการเดินทางมา เที่ยวเมืองจีน ในครั้งนี้ของอิชั้น ก็เลยต้องยอมรับโดยดุษฎีว่า คงไม่ได้ภาพอะไรที่อยากได้มากนัก T^T แค่เพียงเก็บเกี่ยวบรรยากาศและความสุขใส่หัวใจดวงน้อย ๆ เพื่อเก็บไว้คิดถึงได้นาน ๆ เป็นตัวอักษรได้เท่านั้น..


อ่ะ..มาว่ากันต่อถึงรา่ยการที่สองของวัน คราวนี้เราจะเปลี่ยนบรรยากาศพาทุกท่านขึ้นไปสู่ตึกที่สูงที่สุดในนครเซี่ยงไฮ้ นั่นก็คือตึกที่มีชื่อว่า "หอไข่มุก" (The Oriental Pearl Tower) หรือ "ไข่มุกเอเชีย" นั่นเองฮ่ะ

หอไข่มุก (The Oriental Pearl Tower) หรือไข่มุกเอเชีย นั้นได้ชื่อว่าเป็นอาคารที่มีความสูงและมีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลยก็ว่าได้ฮ่ะ โดยหอคอยไข่มุกมีตำแหน่งเป็นตึกที่สูงที่สุดเป็นอันดับ 4 ของโลกเมื่อสร้างเสร็จ (สูง 468 เมตร ปัจจุบันถูกลดอันดับลงมาอยู่ที่อันดับ 5) และเป็นหอคอยที่สูงที่สุดเป็นอันดับสองของเอเชีย ตั้งอยู่ริมแม่น้ำหวงผู่ ตรงข้ามกับย่านเศรษฐกิจเก่าที่เรียกกันว่า The Bund


ลักษณะของตัวอาคารนั้น ก็จะมีรูปร่างคล้ายกับประภาคารกลางทะเลที่ถูกค้ำยันด้วยเสา 3 ต้นฮ่ะ โดยที่ด้านบนของตัวอาคารจะมีการจัดทำเป็นหอรูปทรงกลมคล้ายไข่มุกเรียงกัน 3 เม็ด ขนาดลดหลั่นกันไปตามความสูง บริเวณด้านล่างของตัวอาคารจะเป็นการจัดแสดงพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้ง (ไข่มุกเม็ดที่ 1) ที่แสดงถึงวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของนครเซี่ยงไฮ้ ส่วนไข่มุกเม็ดที่ 2 จะเป็นส่วนที่ใช้เป็นสถานีรับส่งสัญญาณวิทยุและโทรทัศน์ของเซี่ยงไฮ้ ประกอบด้วยสถานีโทรทัศน์ 9 แห่ง และสถานีวิทยุ 10 แห่ง และสำหรับไข่มุกเม็ดที่ 3 ได้จัดไว้เป็นส่วนของร้านอาหารและโรงแรม ที่น่าตื่นตาตื่นใจก็คือในช่วงกลางคืน ก็จะมีการเปิดไฟประดับอย่างสวยงามตระการตาเพื่อเป็นการดึงดูดนักท่องเที่ยวอีกด้วยน่ะนะคะ


การเยี่ยมชมอาคารแห่งนี้ต้องขึ้นลิฟท์ความเร็วสูงที่มีอยู่ถึง 6 ตัวภายในตัวอาคาร โดยเราจะขึ้นไปยังที่ระดับความสูง 267 เมตร และขอบอกว่าเนื่องจากไอ้เจ้าลิฟท์ความเร็วสูงที่ว่านี้ มีความเร็วถึง 7 เมตร ต่อ วินาที ดังนั้นจึงใช้เวลาแค่แป๊บเดียวในการขนส่งคนขึ้นมาอยู่บนหอคอยระฟ้าแห่งนี้



ในตอนหน้าของทริปถูกใจ เราจะมาชมภาพความงามของนครเซี่ยงไฮ้จากมุมสูงด้วยกันนะคะ


เรื่องและภาพประกอบโดย Pacharawalai




วันอังคารที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

วัดพระหยกขาว (White Jade Buddha Temple) เซี่ยงไฮ้


จากอู๋ซีเช้านี้เราบ่ายหน้าเข้าสู่มหานครอันดับหนึ่งของจีนอีกแห่งหนึ่ง นั่นก็คือ นครเซี่ยงไฮ้ นั่นเองฮ่ะ

ด้วยเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัด ดังนั้นโปรแกรมทัวร์ของวันนี้และวันพรุ่งนี้จึงถูกไกด์และเจ้าหน้าที่บริษัททัวร์ปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมโดยเริ่มต้นโปรแกรมท่องเที่ยวในเช้าแรกของมหานคร ด้วยการไปไหว้สักการะพระหยกขาว ณ.วัดพระหยกขาว ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่และมีประวัติความเป็นมาอันยาวนานก่อนเป็นลำดับแรกน่ะนะคะ

วัดพระหยกขาว เมืองเซี่ยงไฮ้

วัดพระหยกขาว (White Jade Buddha Temple) นั้น ก็คือวัดที่มีพระพุทธรูปหยกเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงซึ่งถูกสร้างขึ้นในปี 1882 ประดิษฐานอยู่ถึง 2 องค์ด้วยกันฮ่ะ พระพุทธรูปหยกนี้ได้ถูกอัญเชิญมาจากประเทศพม่า โดยพระภิกษุชื่อ ฮุยเก็น มีความสวยงามล้ำค่าและเป็นงานช่างศิลป์ที่ปราณีตมาก ๆ โดยพระพุทธรูปหยกทั้ง 2 องค์อยู่ในปางนั่งและปางนอน องค์หนึ่ง มีความสูง 190 เซนติเมตร แกะสลักด้วยหยกขาวและหุ้มด้วยเพชรพลอย มรกต หินมโนรา แสดงถึงการถือศีล การอดอาหาร และการตรัสรู้แจ้งของพระพุทธเจ้า ส่วนอีกองค์หนึ่งเป็นพระพุทธรูปปางไสยาสน์ มีความยาว 96 เซนติเมตร โดยนอนตะแคงขวา หนุนพระเศียรด้วยพระหัตถ์ขวา ส่่วนพระหัตถ์ซ้ายวางบนขาด้านซ้าย (ปางปรินิพพาน) พระพักตร์สงบนิ่งแสดงถึงความสงบ สันติสุข เสียดายที่เค้าห้ามไม่ให้ถ่ายภาพพระพุทธรูปทั้งสององค์ ก็เลยไม่มีภาพมาฝาก ดูรูปบรรยากาศส่วนอื่น ๆ ของวัดไปพลาง ๆ ละกันเนาะ T^T










วัดแห่งนี้ถูกทำลายในช่วงราชวงศ์ชิงถูกโค่นล้มบัลลังก์ แต่ก็โชคดีที่พระพุทธรูปหยกขาวไม่ได้ถูกทำลายไปด้วยน่ะนะคะ ดังนั้นจึงได้ถูกอัญเชิญมาประดิษฐานที่วัดซึ่งสร้างขึ้นใหม่ในปี 1928 และให้ชื่อวัดแห่งนี้ว่า วัดพระหยกขาว




ปัจจุบันนี้วัดพระหยกขาวตั้งอยู่บนถนนอานเหยี่ยนในเขตผู่ถอค่ะ ที่นี่ถือเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวพุทธในเซี่ยงไฮ้ และเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่มีนักท่องเที่ยวแวะมาไหว้สักการะขอพรองค์พระเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งของเมืองเซี่ยงไฮ้เลยก็ว่าได้น่ะนะคะ

ในตอนหน้าของบล็อกทริปถูกใจ เราจะไปชมวิวเมืองสูงของนครเซี่ยงไฮ้ จาก หอไข่มุก กันค่ะ แล้วกลับมาพบกันได้ใหม่ในครั้งหน้านะคะ



เรื่องและภาพประกอบโดย Pacharawalai