วันศุกร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2556

ไปรษณีย์กลางโฮจิมินห์ (Main Post Office)


ไปรษณีย์กลางโฮจิมินห์ (Main Post Office) นั้นถือเป็นไปรษีย์ที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนามฮ่ะ โดยตั้งอยู่บริเวณใจกลางเมืองโฮจิมินห์ ใกล้กับโบสถ์นอร์ทเธอดามที่เราเพิ่งจะพาไปเที่ยวชมเมื่อตอนที่แล้วนี่เอง เรียกว่าเีพียงแค่เดินข้ามถนนขนาด 2 เลนเล็ก ๆ แบบบ้านเราก็ถึงละ และขอบอกว่าถึงแม้จะได้ชื่อว่าเป็นเพียงแค่ที่ทำการไปรษณีย์ แต่ก็เป็นที่ทำการไปรษณีย์ที่ไม่ธรรมดาเลยน่ะนะคะ


ไปรษณีย์กลางโฮจิมินห์ นั้น เป็นศิลปะแบบโกธิคที่ได้รับการก่อสร้างขึ้นเมื่อ ปี พ.ศ. 2439 และสำเร็จเสร็จสิ้นลงในปี พ.ศ. 2444 ผู้ออกแบบไปรษณีย์แห่งนี้คือ Gustave Eiffel สถาปนิกระดับโลก


ที่นี่จัดว่าเป็นอาคารสไตล์ฝรั่งเศสที่มีความโอ่โถงและอ่อนช้อยทว่ามั่นคง ตกแต่งอย่างงดงามด้วยกระจกสี ด้านหน้ามีนาฬิกาเรือนโตประดับอยู่ มีเส้นสายลวดลายและศิลปะปูนปั้นสไตล์ฝรั่งเศสที่สวยงาม ว่ากันว่าความสวยงามของตัวอาคารทำให้นักออกแบบมากมายต้องมาศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับการออกแบบตกแต่งอาคารแห่งนี้ทีเดียวนะคะ


เสียดายที่เวลามีน้อย ก็เลยไม่ได้วิ่งเข้าไปถ่ายภาพในอาคารมาให้ชมกัน แต่จากข้อมูลหลาย ๆ แห่งเค้าบอกมาว่า ภายในตัวอาคารมีการระดับภาพแผนที่ทางทะเลโบราณ และภาพของอดีตผู้นำประเทศโฮจิมินห์ ทั้งยังมีการบริการทั้งการส่งจดหมาย แสตมป์เพื่อการสะสม โปสการ์ด โทรศัพท์ระหว่างประเทศในอัตราค่าบริการมาตรฐานที่เปิดให้บริการต่อเนื่องกันมาจนถึงเดี๋ยวนี้อีกด้วย

ในตอนหน้าถึงตอนอำลาเวียดนามใต้กันแล้ว แล้วกลับมาพบกับบทส่งท้ายของทริปท่องเที่ยวเวียดนามใต้ โฮจิมินห์-มุยเน่-ดาลัด ได้ใหม่ในครั้งหน้านะคะ



เรื่องและภาพประกอบโดย Pacharawalai



วันพฤหัสบดีที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2556

โบสถ์นอร์ทเธอดาม โฮจิมินห์ซิตี้


แม้ว่าเราจะทำเวลาได้ดีที่ ตลาดเบนถัน แต่ก็ยังคงเหลือเวลาเพียงน้อยนิดที่จะตบท้ายทริปนี้ด้วยการแวะไปชมความงามของสถานที่สำคัญทั้งทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของเวียดนามทั้งสองแห่งน่ะนะคะ นั่นก็คือ โบสถ์นอร์ทเธอดาม และ ที่ทำการไปรษณีย์เก่าแก่สไตล์ฝรั่งเศสแห่งโฮจิมินห์

อิชั้นเองค่อนข้างจะผิดหวังในใจเล็กน้อย เพราะหวังเอาไว้เยอะ ว่าจะได้มาถ่ายรูปโบสถ์สีส้มสวย ๆ ที่ตัดกันเชี้ยบช้าบกับสีฟ้าสดใส แต่สถานการณ์ที่พบเข้าจริง ๆ ก็คือมันเป็นเวลาเย็นย่ำสนธยา แถมฟ้ายังอึมครึมไปด้วยเมฆฝนอีกด้วย


นี่ล่ะมั๊งที่เคยได้ยินว่า อย่าไปเอาแน่เอานอนกับอากาศของเวียดนามเลย บางวันอากาศก็อาจร้อนตับแล่บ แต่วันดีคืนดี พี่ีท่านก็โปรยฝนลงมาให้วิ่งหนีเล่นกันซะงั้น

โบสถ์นอร์ทเธอดามที่เราจะแวะชมกันนั้น สร้างขึ้นในปี พ.ศ 2420 ค่ะ (ใช้เวลาสร้าง 6 ปี) ไกด์ท้องถิ่นคุยให้ฟังเล็กน้อยว่า อิฐทุกก้อนที่นี่เป็นอิฐที่ขนมาจากฝรั่งเศสและเป็นอิฐเก่าทุกก้อนเลยทีเดียว ที่นี่เป็นศูนย์กลางของชาวคริสต์ในเวียดนามในยุคอาณานิคม และปัจจุบันก็ขึ้นชื่อในฐานะสถานที่ท่องเที่ยวอันสวยงามและมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ที่นักท่องเที่ยวที่มาเยือนโฮจิมินห์ต้องมาแวะชม


โบสถ์นอร์ทเธอดามตั้งอยู่บริเวณกลางเมืองเลยค่ะ มีถนนตัดผ่านตัวโบสถ์ทั้ง 3 ด้าน จึงมีทั้งรถยนต์และกองทัพแมงกะไซค์วิ่งกันวุ่นวายไปหมด (อยู่บนถนน Han Thuyen) ดีนะที่อิชั้นติดเลนส์ไวด์ของซิกม่า 10-20 มม.ไปด้วย ไม่งั้นนอกจากจะเก็บภาพตัวตึกได้ไม่หมดแล้วคงจะโดนรถชนตายอยู่กลางถนนเพราะอุตริวิ่งหามุมเหมาะ ๆ ในการเก็บภาพโบสถ์นั่นล่ะ T^T


จุดเด่นของโบสถ์หลังนี้ก็คือการไม่มีการประดับด้วยกระจกสีเหมือนโบสถ์คริสต์ที่อื่น เพราะได้รับความเสียหายจากสงครามโลกครั้งที่ 2


สำหรับโบสถ์แห่งนี้ได้รับการยกย่องว่ามีความงดงามมากที่สุดแห่งหนึ่งในเวียดนาม บริเวณส่วนหน้าของโบสถ์จะมีหอคอยคู่สี่เหลี่ยมอยู่ด้านบนที่มีความสูงถึง 40 เมตรและมีรูปปั้นขนาดใหญ่สีขาวเด่นเป็นสง่าของพระแม่มารีตั้งอยู่ที่สวนด้านหน้า ซึ่งก็ถือกันว่าโบสถ์แห่งนี้เป็นสัญลักษณ์ของโฮจิมินห์และการมาถึงการของชาวตะวันตกด้วยน่ะนะคะ



วันจันทร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2556

ตลาดเบนถัน โฮจิมินห์ซิตี้


ตลาดเบนถัน ใน โฮจิมินห์ซิตี้ นั้น ถือว่าเป็นอีก แหล่งช้อปปิ้ง ที่มีนักท่องเที่ยวมาหาซื้อของฝากจากเวียดนามกันอย่างหนาตาเลยทีเดียวฮ่ะ

อาจจะเป็นเพราะ ตลาดเบนถัน นั้นเป็นศูนย์รวมของสินค้าหลาย ๆ ประเภท ไม่ว่าจะป็นของกิน ของใช้ เครื่องแต่งตัว กระเป๋า รองเท้า เสื้อผ้า หรือแม้แต่สินค้าเลื่องชื่อของเวียดนามจำพวกกาแฟ,ชา ที่เราพบเห็นและรู้มาว่ามีแหล่งผลิตชั้นยอดอยู่ในดาลัด ก็มาโผล่พรอมแพมแทรกอยู่ตามมุมต่าง ๆ ของตลาดเค้าด้วย



การช้อปปิ้งของฝากจากตลาด เวียดนาม นี่มีเคล็ดลับนิดหน่อยฮ่ะ น้องตี้ไกด์ท้องถิ่นของเราแนะนำว่า หากร้านไหนที่ติดป้ายว่าเป็น fix rate นั่นก็คือเป็นสินค้าที่ได้รับการตั้งราคามาจากทางการแระ ไม่สามารถลดได้ ซึ่งก็อย่าไปต่อเค้าเลยเสียเวลาเปล่า เพราะโอกาสที่จะได้ลดราคามีน้อยมาก ๆ ส่วนร้านรวงทั่วไปภายในตลาดเบนถัน (ซึ่งมีการแบ่งเป็นล็อก ๆ หรือเป็นคูหาอยู่ใต้หลังคาเดียวกัน อารมณ์ประมาณตลาดนัดสวนจตุจักรบ้างเรา แต่เล็กและมีสินค้าให้เลือกน้อยกว่า) สามารถต่อราคาได้อ่ะ ถามว่าต่อได้ราวกี่เปอเซ็นต์ ไกด์บอกว่า ต่อไปเลยสัก 30% เช่นบอกราคามา 100 นึง ก็ต่อเหลือ 70 แต่ถ้าใครใจถึงก็ต่อไปเลยฮ่ะ 40% 555+ ถ้าแม่ค้าเล่นตัวก็เดินออก อย่าต่อแบบเกรงใจ เพราะถ้าไม่พอใจในราคาที่ต่อไปแล้วแม่ค้าให้ เราก็ต้องซื้อล่ะ อิชั้นเห็นมาแล้ว พวกที่ต่อราคาแล้วไม่ซื้อ เวลาจะออกจากร้าน แม่ค้าที่ตลาดนี่ทั้งลากทั้งฉุดเอาไว้ไม่ให้ไป แอบน่ากลัวอ่ะ >0</


ส่วนตัวแล้วไม่ค่อยได้ซื้ออะไรที่ตลาดนี้มากนักอ่ะ เนื่องจากลองประเมินด้วยสายตาแล้ว ของที่นี่ก็คล้าย ๆ ของบ้านเรา มีสินค้าปน ๆ กันไปทั้งของจริงของปลอม แถมราคาก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก ที่สำคัญหากพิจารณาคุณภาพงานของที่นี่ ดูเหมือนจะต่ำหรือด้อยกว่าของบ้านเราอีก แต่ก็นะ..มาถึงที่นี่ละ ก็อดที่จะช้อปปี้งละลายเงินล้าน (ด่อง) ออกไปจากกระเป๋าไม่ได้ สุดท้ายก็เลยได้กระเป๋าผ้าแบบหิ้ว ๆ มา 3 ใบ ในราคาใบละ 80 บาท (เอาไปฝากน้องสาว) แล้วก็พวกกระเป๋าหูรูดใบเล็ก ๆ น่ารัก ๆ มาอีก 10 ใบ เอาไว้แจกน้องกับเพื่อนในราคาตกใบละ 30 กว่าบาท ในขณะที่พี่และเพื่อนร่วมคณะ ได้กระเป๋าล้อลากลายการ์ตูนวอล์สดิสนี่ใบเบ้อเริ่มมาหนึ่งใบ ในราคาต่ำกว่า 1000 บาท และได้พวกของกินไปฝากคนทางบ้านกันอีกคนละหน่อย


อ้อ..ที่นี่เค้ารับทั้งเงินไทยเงินเวียดฯ นะคะ แต่แนะนำว่าควรจะถามราคาทั้งสองเรทเปรียบเทียบกันเสียก่อน เผื่อโดนต้มหมูอ่ะ การช้อปปิ้งนี่มันเหนื่อยจริง ๆ ให้ดิ้นตาย T^T...

ใกล้ ๆ ตลาดเบนถันมีร้านก๋วยเตี๋ยวที่เวียดนามเรียกว่า เฝอ อยู่ร้านนึงค่ะ ร้านนี้ชื่อว่าร้าน เฝอ 2000 ที่ร้านนี้ดังขึ้นมาได้ก็เพราะ อดีตประธานาธิบดี บิล คลินตัน แวะมากินอ่ะ แต่ก็นะ อิชั้นไม่ได้แวะชิมหรอก เพราะเวลามันก็กระชั้นชิดพอควรแระ แถมไ้อ้เจ้าเฝอ หรือเผออะไรนี่ ก็ไม่ได้ถูกปากสักเท่าไหร่ สู้ก๋วยเตี๋ยวปากซอยบ้านเราก็ไม่ได้ (เชอะ)

เราใช้เวลาอยู่ที่ตลาดเบนถันแค่สองชั่วโมงค่ะ เนื่องจากก่อนจะไปสนามบิน เรายังต้องแวะไปตอกบัตรอีกสองที่ นั่นก็คือ โบถส์ กับไปรษณีย์เก่าแก่ของโฮจิมินห์ ในตอนหน้าเรามาเดินเที่ยวชมสองแห่งสุดท้ายในเมืองโฮจิมินห์กันนะคะ



เรื่องโดย Pacharawalai
ภาพประกอบจาก พันทิบ.คอม


อำลาดาลัด

เช้านี้เราถูกปลุกกันตั้งแต่เช้าค่ะ เนื่องจากตกลงใจกันว่าจะรีบ เดินทาง ออกจาก ดาลัด มุ่งหน้าสู่ โฮจินมินห์ ซึ่งอยู่ห่างออกไปราว ๆ 300 กว่ากิโล ซึ่งระยะทางเท่านั้นหากเป็นเมืองไทยเรา ขับรถกันแค่ไม่ถึง 2-3 ชั่วโมงก็ถึงละ แต่สำหรับ เวียดนาม มันไม่ใช่อ่ะ..>0< เนื่องจากกฎหมายจราจรเค้าแปลกมาก คือกำหนดให้รถยนต์นั้นใช้ความเร็วได้ไม่เกิน 40 กม./ชม. ในเขตตัวเมือง และไม่เกิน 60 กม. / ชม. ซึ่งอันนี้ไม่รวมสภาวะการที่ทำให้รถต้องขับช้า เนื่องจากฝูงปลามอเตอร์ไซค์ที่ขับกันเป็นแพทั้งในเมืองและนอกเมืองนะ คิดดูสิ ขนาดตอนขามาจากโฮจิมินห์ เรายังต้องนั่งรถมากว่า 7 ชั่วโมงเลย หุหุ อะไรจะขะไหนหนาด (พอดีรถมันมาติดหนึบอยู่ตรงแถว ๆ นิคมอุตสาหกรรมชานเมืองโฮจิมินห์น่ะค่ะ คลานกระดึ้บ ๆ อยู่หลาย ชม.เหมือนกัน T^T ช่างน่าสงสาร) สรุปก็คือ หากเราเดินทางออกจากดาลัดช้า ก็น่าจะไปถึงโฮจิมินห์ช้าด้วย และส่งผลให้เราอาจไม่ได้ ช้อปปิ้งที่ตลาดเบนถัน หรือไปไม่ทันเที่ยวบินที่จะกลับบ้าน


ถามว่าจริง ๆ แล้วการเดินทางจาก โฮจิมินห์ มา ดาลัด เนี่ย มาทางอื่นนอกจากทางรถยนต์ได้มั้ย คำตอบก็คือได้ค่ะ..เราสามารถเดินทางด้วยเครื่องบินจากโฮจิมินห์มาดาลัดได้เลย ซึ่งจะช่วยย่นระยะเวลาได้มาก และทำให้เราสามารถมีเวลาเที่ยวในเมืองดาลัดได้หลายที่กว่า แต่ก็อ่ะนะ ทัวร์ที่อิชั้นมาด้วยครั้งนี้ไม่ได้ใช้การเดินทางโดยเครื่องบินภายในประเทศฮ่ะ แต่ใช้วิธีหอบลูกทัวร์ปุเลง ๆ ข้ามจังหวัดไปมา ซึ่งก็เข้าใจว่าอาจจะเป็นเพราะเราต้องแวะเที่ยว ทะเลทรายมุยเน่ ที่ จ.ฟานเถียตระหว่างทางตอนขามาด้วยรึเปล่า ก็เลยทำให้ต้องเดินทางด้วยรถ แต่อิ่ตอนขากลับนี่สิ ทำไมถึงไม่จองเครื่องขากลับให้เลยหนอ ลูกทัวร์จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปเปล่า ๆ เกือบวัน เสียดายตรงนั้นล่ะ


ดาลัด นั้นเป็นเมืองน่าเที่ยวค่ะ แม้ว่าปัจจุบันนี้จะกลายเป็นเมืองที่พลุกพล่านเพราะต้องรองรับนักท่องเที่ยวปีละหลายล้านคน แต่สุดท้ายแล้ว ด้วยสภาพภูมิอากาศและทำเลที่ตั้งที่ดี บ้านเรือนน่ารัก และมีที่เที่ยวหลากหลาย ทำให้ดาลัดกลายเป็นขวัญใจของทริปนี้สำหรับหลาย ๆ คนไปในที่สุด อิชั้นว่าคราวหน้าจะมาเดินเก็บที่เที่ยวที่ยังไม่ได้ไปเยือนในเมืองดาลัดต่ออ่ะนะคะ แต่ก็คงจองตั๋วต่อเครื่องมาเอง คราวนี้น่าจะเที่ยวได้หมดจดและมีเวลาแทะเล็มดาลัดได้หลายที่กว่า ^0^/

เราเดินทางมาถึงโฮจิมินห์เอาตอนบ่ายโขมากแล้วค่ะ โชคดีที่ขากลับรถไม่ติดเท่าไหร่ เลยช่วยย่นเวลาไปได้ค่อนข้างมาก พอมาถึง น้องซินไกด์ที่น่ารักของเราก็พาไปปล่อยลงที่ ตลาดเบนถัน ก่อนเลย ตลาดเบนถันหน้าตาเป็นอย่างไร มีอะไรขายบ้าง เดี๋ยวเรามาเดินเที่ยวกันต่อในตอนหน้านะคะ



เรื่องและภาพประกอบโดย Pacharawalai



เที่ยวเมืองดาลัด ตอนที่ 12 (สวนพฤกษศาสตร์ดาลัด)


สวนพฤกษศาสตร์ดาลัด (Dalat Flower Gardens) นั้น ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของทะเลสาบซวนฮวาง บนถนนฟูดงเตียนหวุง (Phu Dong Thien Vuong) ของเมืองดาลัดค่ะ

ที่นี่ได้รับการสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2409 เพื่อให้คำปรึกษาแก่เกษตรกรภาคใต้ และด้วยเหตุที่ภูมิอากาศของ ดาลัด นั้น มีความหนาวเย็นเกือบตลอดทั้งปี จึงทำให้พืชพันธุ์ไม้เมืองหนาวผลิดอกบานสะพรั่ง จนได้รับการขนานนามว่าเป็นเมืองแห่งดอกไม้นั่นเองน่ะนะคะ ปัจจุบันที่สวนพฤกษศาสตร์แห่งนี้ เป็นที่ที่รวบรวมพรรณไม้ไว้อย่างมากมาย ทั้งไม้ต้น ไม้ดอก ไม้ประดับ แถมยังมีพวกผักเมืองหนาวปลูกไว้อวดสายตาผู้มาเยือนอีกด้วย


จริง ๆ แล้วโปรแกรมนี้เป็นโปรแกรมแถมที่ทางทัวร์ได้จัดไว้ให้ค่ะ เนื่องจากสมาชิกผู้ร่วมทัวร์ทั้ง 15 คนทำเวลาในแต่ละที่ได้ดี ตรงเวลากันเป๊ะ ๆ กินข้าวก็เร็ว เดินเที่ยวก็เร็ว ดังนั้นจึงมีเวลาเหลือให้พอที่จะไปเที่ยวนู่นเที่ยวนี่ได้อีกที่สองที่


งานนี้ทางทัวร์เค้าจ่ายให้หมดฮ่ะ แต่ถ้ามาเอง ดูเหมือนจะเสียค่าเข้าชมคนละ 10,000 ด่อง หรือประมาณ คนละ 15 บาท (1 บาท ประมาณ 670 ด่อง) เท่านั้นเอง..ถูกดีเนอะ


ดอกไม้สวยมากกก..การจัดสถานที่ก็สวยงาม เสียดายหนาวไปหน่อย หุหุ..ยิ่งเย็นลงยิ่งหนาว ลมก็แรง ยืนนิ่ง ๆ ไม่ได้ ต้องสั่นสู้กันเป็นพัก ๆ กว่าจะได้เวลาที่นัดพลพรรคมาขึ้นรถ อิชั้นก็เกือบจะเป็นไอติมแช่แข็งสัญชาติไทยกลางสวนดอกไม้ของเมืองดาลัดไปซะแระ T^T





คืนนี้เราจะอำลา ดาลัด กันแล้วนะคะ พรุ่งนี้เราจะไปเที่ยวทิ้งทวนกันต่อในโฮจิมินห์ซิตี้กันอีกรอบหนึ่ง แล้วกลับมาเที่ยวด้วยกันใหม่ในครั้งหน้านะคะ



เรื่องและภาพประกอบโดย Pacharawalai


วันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2556

เที่ยวเมืองดาลัด ตอนที่ 11 (รถรางมหาสนุกและน้ำตกดาลัด)


คงต้องบอกว่ารายการทัวร์ที่อิชั้นตั้งตารอเป็นลำดับต้น ๆ ของทริปนี้ก็คือรายการนี้ค่ะ หลังจากที่ลงไปเดินเที่ยวชมความงามของวัดตั๊กลัมกันเรียบร้อยแล้ว ก็มาถึงรายการเกือบจะสุดท้ายของวันกันซะที นั่นก็คือ การไปเที่ยว น้ำตกดาลัด (Datanla Falls) กันอ่ะ ที่นี่มีความพิเศษอย่างไร ความพิเศษของการไปเที่ยวชมน้ำตกที่นี่ ก็คือการจะได้นั่งรถรางมหาสนุกที่จะพาคุณแล่นฉิวฉวัดเฉวียนไปตามรางเพื่อลงไปชมความงามของน้ำตกที่อยู่ในหุบเขาลงไปนั่นเองน่ะนะคะ

น้ำตกดาตันลา (Datanla Waterfall) นั้นห่างจากตัวเมืองดาลัดไปทางทิศใต้ประมาณ 5 กิโลเมตรค่ะ ช่วงที่ไปน้ำตกไหลแรงมากและก็มีหลายชั้น รอบ ๆ ก็มีพันธุ์ไม่เขียวชอุ่มพุ่มไสว เสียอย่างเดียว ที่กรุ้ปเราไปตรงกับเทศกาลปีใหม่ ผู้คนก็เลยล้นหลามทั้งชาวเวียดนามเองแล้วก็นักท่องเที่ยว มองไปทางไหน ๆ ก็มีแต่คน ค้น ค้น ทั้งนั้นเลย >0<

แต่ไม่เป็นไร..อิชั้นไม่ได้มาดูน้ำตก อิชั้นตั้งใจมานั่งไอ้เจ้านี่ต่างหากเล่า


รถราง(Roller Coaster) นั้นถือว่าเป็นไฮไลต์อย่างนึงของที่นี่ฮ่ะ หน้าตามันเหมือนรถไฟเหาะไม่ตีลังกาบ้านเรานี่แหละ คือมันจะมีตัวรถที่วิ่งไปตามราง โดยจะมีคันบังคับให้เราสองด้าน ด้านหนึ่งเป็นเบรค ด้านหนึ่งเป็นคันเร่ง คันนึงก็จะนั่งได้ 2 คน แต่ส่วนใหญ่คนจะชอบนั่งเดี่ยว ๆ อ่ะนะคะ (เพื่อความสะใจ 5555+) เมื่อนั่งแล้ว รถรางก็จะไหลตาม ๆ กันลงไปสู่ตัวน้ำตก ผ่านทิวเขา และดงไม้ คดเคี้ยวลงไปสู่เบื้องล่าง ขอบอกว่าสนุกมากอ่ะ เสียอย่างเดียว คันที่อยู่หน้า ๆ อิชั้นชอบเบรค ก็เลยทำความเร็วได้ไม่ดีเท่าไหร่ ต้องคอยเบรคตามอยู่เรื่อย ๆ ไม่สะใจวัยโจ๋อายุเฉียดครึ่งร้อยแบบอิชั้นเลย T^T

ถ้าหากใครไม่อยากนั่งรถราง หรือเป็นโรคกลัวความหวาดเสียวก็ไม่ต้องกังวลค่ะ ที่นี่เค้าจะมีบันไดคอนกรีตที่ทำไว้อย่างดี ทอดตัวลงไปสู่ตัวน้ำตกข้างล่างด้วย แต่อาจจะเดินเหนื่อยหน่อย และไม่เหมาะกับคนที่ข้อเข่าไม่ค่้อยดี ถ้าจะให้ครบรส ก็นั่งรถรางแล่นฉิวลงไปดีกว่าเนอะ


สนนราคาค่านั่งรถรางอิชั้นไม่ได้สอบถามไกด์มาแฮะ แต่ความว่าเค้าจะมีตั๋วให้สองประเภท คือแบบเที่ยวลงเที่ยวเดียว ขาขึ้นต้องเดินขึ้นบันไดเอง กับตั๋วแบบสองเที่ยว คือเวลาลงบังคับรถรางลงเอง ขาขึ้นก็นั่งรถรางเวียนขึ้นมาโดยไม่ต้องบังคับเอง ก็สะดวกสบายไปอีกแบบ

ใครที่อยากชิมรสชาดของความสนุกบวกกับได้ดูความงามของน้ำตกดาลัดก็ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวงนะคะ..




เรื่องและภาพประกอบโดย Pacharawalai