วันเสาร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2556

เมืองจำลองซ่ง ซ่งเฉิง (宋城) ตอนที่ 3



หลังจากเดินดุ่ม ๆ เที่ยวชมภายในบริเวณ เมืองจำลอง ซ่งยามค่ำคืนได้สักพัก ก็ถึงเวลาที่จะต้องกลับไปรวมตัวกันที่หน้าโรงละคอน หรือสถานที่จัดแสดงเรื่องราวความเป็นมาของราชวงศ์ซ่งกันพอดีฮ่ะ


อย่างที่เคยอรรถาธิบายไว้เล็กน้อยเมื่อตอนก่อนนู้นแล้วนะคะ ว่าการเข้ามาเที่ยมชมเมืองจำลองโบราณแห่งนี้ นอกจากจะได้รับชมบรรยากาศเก่า ๆ ที่จำลองมาของบ้านเรือนและวิถีชีวิตของชาวจีนในสมัยราชวงศ์ซ่งแล้ว เรายังไม่ควรพลาดชมการแสดงอันสวยงามวิจิตรตระการตาของที่นี่ด้วย ซึ่งแม้ว่าราคาค่าตั๋วที่ต้องซื้อเพิ่มจะแพงหูฉี่ไปซะหน่อย (คือเมื่อรวมกับราคาค่าผ่านประตูแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 1,300 บาท) แต่ถ้าคิดว่าคงไม่ได้มาที่นี่อีก หรือไม่ได้มาบ่อย ๆ ตัดใจซื้อแล้วเข้ามาชมก็ดีเหมือนกันนะ

การแสดงเรื่องราวความเป็นมาของราชวงศ์ซ่งนั้น มีอยู่หลายชุดด้วยกันฮ่ะ ทุกชุดจะถูกใส่แสง สี เสียง เลเซอร์ กราฟฟิค อิเลคโทรนิค แลคโตบาซิลัส (ได้ข่าวว่าอันหลังไม่เกี่ยว 555+) กันมาอย่างเต็มสูบ ที่สำคัญ นักแสดงแต่ละคนก็ส๊วย..สวย..หุ่นก็ดี๊..ดี..ขนาดอิชั้นเป็นผู้หญิงยังจ้องตาแทบไม่กระพริบ เชื่อว่าคุณผู้ชายก็คงฟิน..หนักไม่แพ้กัน..อ่ะ พูดมากเดี๋ยวคนที่ตามมาเที่ยวด้วยจะเบื่อเอาซะก่อน ไปดูภาพการแสดงบางส่วนที่เก็บมาฝากกันดีกว่าฮ่ะ









เรื่องและภาพประกอบโดย Pacharawalai



วันศุกร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2556

เมืองจำลองซ่ง ซ่งเฉิง (宋城) ตอนที่ 2



หลังจากที่ผ่านประตู เมืองจำลองซ่ง เข้ามาแล้ว อิชั้นก็ต้องรีบจ้ำอ้าวตามคุณไกด์และหมู่คณะไปตามทางเดินสลัว ๆ ที่ประดับประดาด้วยโคมไฟสีแดงแปร๊ดแบบถี่ยิืบฮ่ะ เสียดายที่อิ่ตอนเข้ามานาฬิกาปาเข้าไปตั้งสามทุ่มละ ดังนั้นจึงดูเหมือนร้านรวงต่าง ๆ ที่เปิดโชว์ให้เห็นการแสดงวัฒนธรรมและชีวิตผู้คนที่เลียนแบบวิถีโบราณของชาวบ้านร้านช่องที่อยู่ในสมัยราชวงศ์ซ่ง เค้าจะทะยอยปิดกันซะเป็นส่วนใหญ่ หรืิอปกติอิ่ตรงนี้เค้าไม่เปิดให้เข้าชมฟระ..อันนี้อิชั้นก็ไม่แน่ใจ แต่เดินตามพวกไกด์ไปเรื่อย ๆ ก่อนละกันนะคะ


เสียดายที่ไกด์พามาค่ำไปหน่อย แต่เหตุผลก็คือไกด์บอกว่า เนื่องจาก การแสดงของราชวงศ์ซ่ง ซึ่งเราจะมาดูกันวันนี้รอบช่วงเย็นตั๋วเต็ม จึงทำให้ไม่สามารถมาเที่ยวชมที่นี่แต่หัววันได้ อิชั้นก็นึกแปลกใจฮ่ะ ว่าปกติแล้วไกด์เค้าไม่ต้องจัดเตรียมซื้อตั๋วล่วงหน้าไว้ให้ลูกทัวร์เหรอ ดูสิ มาค่ำ ๆ มืด ๆ แบบนี้ จะไปเห็นอะไรที่ตอนกลางวันเค้ามีกันล่ะ เสียดายจัง...ชีวิตคนเดินทางแบบหย๋อมแหย๋มอย่างเรา คงไม่ได้มีโอกาสได้มาที่นี่ซ้ำอีก >0<


เดินตามหมู่คณะไปเรื่อย ๆ ฮ่ะ ที่สุดก็ไปโผล่ตรงบริเวณหน้าสถานที่จัดแสดง แต่เนื่องจากอีกตั้งชั่วโมงนึงแน่ะ กว่าจะถึงเวลาเข้าไปข้างใน คุณไกด์เค้าก็เลยบอกให้เรา ไปเดินเที่ยว ๆ แถวนี้เอาละกันนะ แล้วอีกชั่วโมงนึงค่อยกลับมาเจอกัน..อื้มมม..เล่นง่ายดีเนอะ..

อ่ะ..ดีเหมือนกันค่ะ ถึงแม้เราจะไม่มีโอกาสได้เห็นบรรยากาศตอนกลางวันของที่นี่ ที่เค้าว่ากันว่าอุดมไปด้วยการจัดแสดงทั้งหลาย เช่น การแต่งตัวเลียนแบบชาวจีนโบราณ การจำลองการค้าขายของชาวบ้านในสมัยราชวงศ์ซ่ง แต่อย่างน้อย การมาเที่ยวกลางคืนก็ทำให้เราได้เห็นความสวยงามของแสงไฟที่ประดับประดาอยู่ในจุดต่าง ๆ แทน


ที่เป็นจุดเด่นที่อิชั้นตื่นตาตื่นใจ ก็เห็นจะเป็นพระใหญ่ที่สร้างจำลองขึ้นบนภูเขา(จำลองอีกเหมือนกัน) นี่แหละฮ่ะ มองจากไกล ๆ ก็ไม่ใหญ่เท่าไหร่นะ แต่พอลากสังขารเดี้ยง ๆ ของตัวเองขึ้นบันไดไปดูอย่างใกล้ชิดด้านบนปั๊บ..โอ้ววว..องค์ใหญ่จุงเบย (เฮ่ย ๆ ภาษาไทยวิบัติหมด 5555+)


ไม่แน่ใจว่าบันไดที่ขึ้นไปชมองค์พระมีกี่ขั้น แต่ไม่แนะนำให้คนที่เป็นโรคข้อเข่าหรือไขข้ออักเสบไต่ขึ้นไปเด็ดขาด..สูงอิ๋บเอ๋ง..เล่นเอาหอบแฮ่กกันเลยทีเดียว


แม้ว่าจะเป็นองค์พระที่สร้างจำลองขึ้นมา แต่ก็สวยงามน่าศรัทธาไม่ต่างจากองค์พระจริงเลยค่ะ เห็นภาพประตูเล็ก ๆ บริเวณมุมซ้ายของพระ (ด้านขวาของภาพ) มั้ยคะ ตรงนั้นเป็นปากถ้ำที่สร้างเข้าไปภายในภูเขาจำลองด้านหลังองค์พระ ซึ่งด้านในก็จะทำเป็นช่องทางเดินซึ่งไปโผล่ตามห้องหับต่าง ๆ ที่ตกแต่งไว้ด้วยองค์พระที่ปั้นจำลองเป็นห้อง ๆ พร้อมด้วยการจัดแสงสลัว ๆ แถมยังเปิดเสียงสวดมนต์ประกอบฉาก อิชั้นว่าถ้าเข้าไปเที่ยวชมคนเดียว คงจะหลอนน่าดู >.<


จัดแสงได้สวยดีเนอะ...


เดินชมกันเล็กน้อยพอให้น้ำลายหกเพราะเสียดายที่ไม่ได้มาเยือนที่นี่ในเวลากลางวัน T^T เสร็จแล้วก็ต้องไต่บันไดลงไปข้างล่างอีกรอบเพราะจวนจะถึงเวลานัดละ..เดี๋ยวเราไปชมการแสดงของราชวงศ์ซ่งที่เค้าลือกันว่าสวยงามตระการตาด้วยกันนะคะ




เรื่องและภาพประกอบโดย Pacharawalai


วันพฤหัสบดีที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2556

เมืองจำลองซ่ง ซ่งเฉิง (宋城) ตอนที่ 1



ออกจากร้านขายผลิตภัณฑ์ผ้าไหมซึ่งเป็นไฟต์บังคับของลูกทัวร์ทุกคณะที่ต้องมาเยือนแล้ว เราก็แว่บไปกินข้าวเย็นกันก่อนค่ะ ซึ่งอาหารแต่ละมื้อก็หน้าตาคล้าย ๆ กัน นั่นก็คือมักจะมีอาหารพวกหมู,ปลา,ผัดผัก,หมั่นโถว เป็นหลัก ตบท้ายด้วยผลไม้หลังอาหาร พวกแตงโม ส้ม ที่แปลกกว่านั้นมีอยู่มื้อนึง อิชั้นเจออ้อยด้วยอ่ะ เออแปลกดี ที่นี่เค้าฝานอ้อยเป็นท่อนเล็ก ๆ มาให้สมาชิกบนโต๊ะร่วมเคี้ยวดูด ๆ แทนของหวานดั้ว >.<"


นับเป็นกรรมชนิดไม่ต้องแบของคนชอบเที่ยวแบบอิชั้นฮ่ะ เนื่องจากกินอะไรกับเค้าก็ยาก ผักเผิ่กผลไม้ก็กินได้น้อยชนิด ดังนั้้นเมื่อต้องคอยจิ้มแต่พวกหมูพวกไก่ หนัก ๆ เข้า ก็พาลเอาไม่เจริญอาหารซะงั้น T^T

อ่ะ..อย่าบนให้มากความไปเลย นึกซะว่าเราตั้งใจมาเที่ยวเนาะ ไม่ได้ตั้งใจมากิน..เค้าให้อะไรมาก็แหล่ก ๆ เอ๊ย..กิน ๆ กันตายไปเหอะ สามสี่วันเดี๋ยวก็ได้กลับบ้านไปกินไข่เจียวน้ำปลาพริกละ เรามาพาเที่ยวกันต่อดีฝ่า (Oh, Nooooo.......กระัซิก กระซิก)

หลังอาหารเย็น ไฮไลท์ช่วงค่ำคืนของวันนี้ก็คือการไปดู การแสดงแบบราชวงศ์ซ่ง ในเมืองจำลองโบราณที่ใหญ่ที่สุดของประเทศจีนฮ่ะ


เมืองจำลองสมัยราชวงศ์ซ่ง นั้น ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองหังโจวค่ะ หลาย ๆ คนพูดว่าที่นี่ถือเป็นไฮไลท์อีกแห่งหนึ่งของ เมืองหังโจว ก็เพราะนอกจากจะเป็นเมืองจำลองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศจีน โดยภายในตัวเมืองจำลองนั้น ได้มีการออกแบบก่อสร้างอาคารบ้านเรือนในยุคโบราณสมัยราชวงศ์ซ่งรูปแบบต่าง ๆ มีทั้งทิวทัศน์ริมแม่น้ำ จัตุรัสราชวงศ์ซ่ง จัตุรัสมังกร จตุรัสเขาเซียน รวมไปถึงศาลาแบบต่าง ๆ นอกแล้ว ที่นี่ยังมีการแสดงในแบบราชวงศ์ซ่งที่สวยงามตระการตาให้รับชมอีกด้วย


สนนราคาค่าเข้าชม..จริง ๆ แล้วอิชั้นไม่รู้ว่ามันเท่าไหร่กันแน่ค่ะ >0</ เนื่องจากทุกอย่างทางทัวร์เค้าออกให้หมด แต่จากการค้น ๆ คุ้ย ๆ ดูข้อมูลก็พบว่า มีคนที่เดินทางไปเที่ยวมาบ่นให้ฟังถึงราคาตั๋วที่แพงระยิบ คืออยู่ที่ 80 หยวน หรือประมาณ 400 บาทเลยทีเดียว (เออ..แพงฟร่ะ) อันนี้คือราคาค่าเข้าเมืองจำลองอย่างเดียวนะเค๊อะ หากท่านจะรับชมการแสดงที่กล่าวถึงประวัติศาตร์ความเป็นมาของเมืองหังโจวในราชวงศ์ซ่ง ระเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันด้วยแล้ว คุณพี่ก็ต้องจ่ายค่าเข้าชมเพิ่ม รวมเป็น 260 หยวน ซึ่งก็เท่ากับ 1,300 บาทเลยเชียวล่ะ (โต๊ะจายหมดเลย)

ในตอนหน้าหลังจากผ่านประตูเมืองจำลองเข้าไปแล้ว เราไปชมบรรยากาศด้านในด้วยกันนะคะ



เรื่องและภาพประกอบโดย Pacharawalai






วันอังคารที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2556

แวะดูผ้าไหมในเมืองหังโจว




ทุกครั้งที่ขี่ม้าเลียบเมืองไปตามประเทศต่าง ๆ สิ่งหนึ่งที่ทำให้อิชั้นงุนงวยและออกอาการเบื่อหน่ายเล็กน้อยโดยเฉพาะการไป เที่ยวเมืองจีน นั่นก็คือการถูกพาไปแวะตามห้างร้านที่มีลักษณะเป็นร้านของรัฐบาลนี่แหละฮ่ะ และแน่นอนว่าทริปนี้ก็ไม่พลาดเช่นกัน ที่นอกจากจะพาไปเที่ยวที่ตรงนั้นจิ๊บ ที่ตรงนี้จ่อยแล้ว เรายังถูกพาไปกล่อม เอ๊ย..พาไปเยือนร้านค้าของรัฐบาลเพื่อนำเสนอขายสินค้าท้องถิ่นที่ขึ้นชื่ออีกด้วย

หวยที่ออกเย็นนี้ก่อนเดินทางไปกินอาหารเย็น ก็คือ ร้านขายผลิตภัณฑ์ผ้าไหมแห่ง เมืองหังโจว ฮ่ะ อิชั้นจะไม่พูดอะไรมาก เพราะไม่ค่อยได้ฟังไกด์เค้าสาธยายขายของ (ฮา~~) เอาเป็นว่าเก็บภาพภายในบริษัทห้างร้านเค้ามาฝากแชะสองแชะ เพราะเดี๋ยวออกจากที่นี่แล้วเราจะไปกินข้าวเย็น แล้วก็มุ่งหน้าไปเที่ยวที่เมืองจำของแห่งราชวงศ์ซ่งซึ่งเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ของวันกันต่อน่ะนะคะ

ก่อนเข้าไปเป็นเสียมตือ..ก็ต้องมาเข้าห้องอบรมจิต สำแดงวิธีการให้ได้มาซึ่งเส้นไหมเสียก่อน  จะว่าไปอิชั้นไม่ค่อยชอบใช้ผลิตภัณฑ์ที่ต้องไปเบียดเบียนธรรมชาติเท่าไหร่ฮ่ะ มีอย่างหรอ เพื่อให้ได้เครื่องห่มเครื่องนอนของตัวเอง ดันไปฆ่าสัตว์เพื่อเอาเส้นใยซะงั้น (แม้ว่าจะมันจะเป็นแค่หนอนก็เหอะ)...ตรูยอมนอนผ้าป่านสังเคราะห์สาก ๆ ดีกว่านิ..



เอาเป็นว่าเมื่อไม่มีอะไรให้ซื้อ หรือให้ดูแล้ว อิชั้นก็เลยเดินออกมาชมบรรยากาศรอบ ๆ ร้านแทนฮ่ะ อากาศเย็นนี้ที่หังโจวเย็นสบายมาก ๆ นึกอยากจะเอากระบอกเก็บอากาศแถวนี้ไปปล่อยไว้แถวบ้านเราเนาะ โอ้ว....ชีวิตคงจะมีความสุขดีมิใช่น้อย อ่ะ มาดูวิถีรอบตัวกันดีกว่าเนอะ






ในตอนหน้าของทริปถูกใจ เราจะแวนไปเที่ยวเมืองจำลองราชวงศ์ซ่งด้วยกันค่ะ แล้วกลับมาพบกันได้ใหม่ในครั้งหน้านะคะ

เรื่องและภาพประกอบโดย Pacharawalai



ทะเลสาบซีหูแห่งเมืองหังโจว


เรามาถึง หังโจว เอาอิ่ตอนได้เวลาอาหารกลางวันพอดี..เอิ่ม..คาดว่าอาหารเช้าที่ใส่พุงมาหมาด ๆ เมื่อเช้านี้ยังไม่ทันย่อยเลยด้วยซ้ำมั๊ง แต่ทำไงได้ มาเที่ยวแบบนี้เค้ากินนอนเที่ยวเป็นเวลา จะมาโอ้เอ้โต๋เต๋ีรอจนกว่าจะหิวก็กระไรอยู่ เอ้า..กินก็กินฮ่ะ กินแล้วจะได้เที่ยวต่อกันในภาคบ่าย ซึ่งเราจะไปเยือนสถานที่ท่องเที่ยวที่ขึ้นหน้าขึ้นตาแห่งเมืองหังโจวกัน นั่นก็คือ ทะเลสาบซีหู นั่นเองน่ะนะคะ


ตามประวัติแล้วทะเลสาบซีหูนั้น ก็คือทะเลสาบที่เกิดขึ้นจากการใช้แรงงานมนุษย์ขุดค่ะ ที่นี่ถือว่าเป็นเสน่ห์แห่งเมืองหังโจว ที่ทำให้หังโจวกลายเป็นสวรรค์บนดิน ว่ากันว่าความงามของทะเลสาบแห่งนี้ทำให้มาร์โคโปโลซึ่งเป็นนักเดินทางชาวอิตาลี (ค.ศ 1254-1324) ถึงกับกล่าวยกย่องว่าเป็นเมืองที่มีความวิจิตรและงดงามที่สุดในโลกในสมัยนั้นเลยทีเดียว


คำว่า “ซีหู” แปลว่าทะเลสาบด้านตะวันตกค่ะ ทั่วทั้งแผ่นดินจีนนั้น มีซีหูอยู่มากถึุง 36 แห่ง แต่ที่มีชื่อเสียงที่สุด ก็คือทะเลสาบซีหูแห่งเมืองหังโจวนี่เอง ทะเลสาบซีหูแห่งนี้ มีลักษณะที่ใกล้เคียงกับวงรีน่ะนะคะ ทั้งสามด้านของทะเลสาบถูกแวดล้อมไปด้วยภูเขา โดยมีอีกด้านหนึ่งเป็นเมือง และสาเหตุที่ใช้ชื่อว่า ทะเลสาบตะวันตก ก็เนื่องมาจากทะเลสาบแห่งนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมือง โดยเชื่อมต่อกับแม่น้ำเฉียนถังเจียง แต่เมื่อล่วงมาถึงศตวรรษที่ 8 ก็ได้มีการถมทางน้ำที่เชื่อมทะเลสาบซีหูกับแม่น้ำเสีย ทำให้ปัจจุบันนี้ ทะเลสาบซีหูกลายเป็นทะเลสาบที่ตั้งอยู่โดด ๆ โดยมีสถานที่สำคัญมากกว่า 30 แห่ง และแหล่งชมวิวทิวทัศน์มากกว่า 40 แห่งแวดล้อมอยู่รายรอบ โดยจุดที่สำคัญ ๆ ที่มีชื่อเสียงได้แก่

หนึ่งภูเขา (กูซาน)
สองทาง (ซูตึ-ไป๋ตึ เป็นถนนที่สร้างตัดผ่านทะเลสาบ)
สามเกาะ
ห้าทะเลสาบ
และ สิบทิวทัศน์


ทะเลสาบซีหู นั้นแม้ว่าจะมีขนาดที่กว้างใหญ่ มีความยาวถึง 4.3 กิโลเมตร หากแต่ก็มีความลึกเพียง 2-3 เมตรเท่านั้นเองฮ่ะ นอกจากจะมีความสำคัญในฐานะสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามขึ้นชื่อแห่งหังโจวแล้ว ที่นี่ยังเต็มไปด้วยเรื่องราว เรื่องเล่า ตำนาน และบทกวี ที่ถ่ายทอดถึงความสุข ความทุกข์ ของชาวหังโจวและชาวจีนอีกมากมายอีกด้วยน่ะนะคะ








เรื่องและภาพประกอบโดย Pacharawalai