วันอังคารที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2556

เรื่องเล่าระหว่างทาง (เซี่ยงไฮ้-หังโจว) ตอนที่ 2


เมื่อตอนที่แล้วเล่าค้างไว้ถึงตอนที่คุณบูรพาไกด์ท้องถิ่นชาวจีน นำเกล็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เรียกได้ว่าเป็น  Chinese only มาฝากกันไปเล็กน้อยแล้วน่ะนะคะ

หลาย ๆ คนที่นั่งฟังอิชั้นเล่าเรื่องกฎหมายของทางการ จีน ที่กำหนดให้ครอบครัวของคนจีนต้องมีลูกคนเดียว และทำให้เกิดโศกนาฎกรรมที่น่าหดหู่ในกรณีที่ผู้เป็นแม่ตั้งท้องลูกคนที่สองแล้วโดนจับได้ ก็จะต้องถูกนำตัวไปนำลูกออกไม่ว่าจะตั้งท้องไว้กี่เดือนก็ตาม เมื่อมานั่งพิจารณาดูแล้ว ที่กฎหมายเขาแรงขนาดนั้นก็คงเป็นเพราะกลัวว่าคนจะไม่เกรงกลัวกฎหมายนั่นล่ะ เนื่องจากอย่าลืมว่าประเทศจีนเป็นประเทศที่มีพื้นที่กว้างขวาง และมีประชากรเยอะมากที่สุดในโลก แถมยังเป็นประชากรที่แตกต่างกันหลากหลายทั้งด้านภาษาและวัฒนธรรมท้องถิ่น ดังนั้น หากทางการไม่ออกกฎหมายที่เคร่งครัดเพื่อบังคับใช้แล้ว เชื่อแน่ว่า จีน..ก็คงไม่เป็นจีนอย่างเช่นทุกวันนี้หรอกค่ะ แต่คงจะแตกเสี่ยง ๆ เป็นหลาย ๆ ประเทศ ซึ่งก็นะ..ขนาดประเทศเล็ก ๆ อย่างเรา มีชนชาติไม่หลากหลาย แค่แตกต่างกันทางความคิด ยังจะตีกันสารขัณฑ์แทบแตก แบ่งเป็นหลายก๊กหลายฝ่าย และแต่ละฝ่ายก็ล้วนแล้วแต่มุ่งคำนึงถึงประโยชน์ของตนเองมากกว่าประเทศชาติ แอดมินว่าดูไปดูมา..มันน่าหดหู่และเศร้าใจกว่าประเทศจีนอีกนิ >.< ......เง้อ..เล่าไปเล่ามาดันวกมาเหน็บประเทศตัวเองซะงั้น..ไม่เอา ๆ 555+ มาฟังเรื่องกฏหมายการมีลูกคนเดียวของจีนกันต่อดีกว่า


เอาล่ะ..เมื่อกฎหมายของจีนนั้นระบุให้มีแต่ละครอบครัวของชาวจีนต้องมีลูกคนเดียว ดังนั้น คนจีนจึงนิยมที่จะมีลูกชายมากกว่าลูกสาว เพราะจะได้สืบวงศ์สกุล ความเหลื่อมล้ำต่ำสูงทางเพศของคนจีนจึงเรื่มตั้งแต่อยู่ในท้องแม่เลยก็ว่าได้..คือนอกจากคนจีนจะเห็นความสำคัญของลูกชายมากกว่าลูกสาว ยังทำให้สถานะของลูกสาวที่เกิดมาในครอบครัวคนจีนและเป็นลูกคนแรกต้องพบเจอกับปัญหาที่ยิ่งใหญ่ตลอดชีวิต นั่นก็คือ ครอบครัวไหนที่มีลูกสาวเป็นลูกคนแรก (และแน่นอนว่าต้องเป็นลูกคนเดียวของครอบครัวโดยไม่มีโอกาสมีลูกชายเพื่อสืบวงศ์สกุลเป็นคนที่สอง) ก็มักจะหลีกเลี่ยง ไม่นำลูกสาวของตัวเองไปขึ้นทะเบียน...ดังนั้นเมื่อไม่มีทะเบียน ไม่มีใบเกิด จึงกลายเป็นคนเถื่อน เมื่อเป็นคนเถื่อนก็มักจะไม่ได้รับสิทธิต่าง ๆ ที่ควรจะได้รับ เช่น ไม่ได้เล่าเรียน ไม่มีสิทธิ์ในการเลือกทำงาน ไม่มีใบประกอบอาชีพ ไม่มีสิทธิในการรักษาพยาบาล ฯ เรียกได้ว่า..เป็นได้แค่ คนชั้นล่าง ๆ ในสังคม ที่แทบจะลืมตาอ้าปากกับใครเขาไม่ได้ ดูสิคะ..อุตส่าห์เกิดมามีชีวิตกับเขาทั้งที ก็โดนกดขี่จากการแค่เกิดมาเป็นเพศหญิงซะอย่างนั้น

ความนิยมในการมีลูกชายของชาวจีนนั้น ในปัจจุบันนี้ก็ยังคงมีอยู่อย่างแพร่หลาย และหยั่งรากลึกในความคิดของครอบครัวชาวจีนฮ่ะ คุณบูรพาเล่าว่า..คนจีนนั้น ถูกด่าถึงบุพการียังไม่เจ็บใจเจ็บแสบเท่ากับถูกแช่งให้ไม่มีลูกชา่ยไว้สืบสกุล และด้วยความที่กฎหมายกำหนดให้มีลูกเพียงคนเดียว คนจีนหลาย ๆ คนจึงเลี้ยงลูกเหมือนเทวดาซะงั้น (แต่ไม่ทุกครอบครัวนะ) ถูกตามใจมาก ๆ เข้าก็เสียคน แทนที่จะได้คนที่มีคุณภาพเข้าสู่สังคม ดันเป็นการเพาะเชื้อโฉดให้แก่สังคมซะอีก

บล็อกตอนนี้ยาวอีกแหล่ว..ไว้มาคุยกันต่อตอนหน้านะคะ..



เรื่องและภาพประกอบโดย Pacharawalai

วันจันทร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2556

เรื่องเล่าระหว่างทาง (เซี่ยงไฮ้-หังโจว) ตอนที่ 1


เมื่อตอนที่แล้วแอดมินเล่าค้างถึงตอนนั่งรถบัสจากเมือง เซี่ยงไฮ้ เพื่อเดินทางไปเยือนเมืองที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมแห่งหนึ่งของจีน นั่นก็คือเมือง หังโจว นั่นเองน่ะนะคะ

ระหว่างทางคุณบูรพาซึ่งเป็นไกด์ท้องถิ่นชาวจีนก็บรรยายอะไรของแกไปเรื่อย และขอบอกว่าน้ำเสีียงหนืด ๆ ของแก (ใครอย่ามาถามนะ ว่าน้ำเสียงหนืด ๆ เป็นยังไง >0< ของแบบนี้ต้องรู้เองง่ะ) ก็ชวนง่วงเสียนี่กระไร..ฟังแกอรรถาธิบายนู่นนี่นั่นโน่นสักพัก อิชั้นก็หลับครืดดด..

มาตื่นอีกทีอิ่ตอนแกชี้ชวนให้ดูบ้านเรือนอันใหญ่โตของชาวนาสองข้างทางนี่แหละฮ่ะ..ขอบอกว่าช่างเป็นบ้านชาวนาที่ใหญ่เกินคาดคิด เมื่อเทียบกับบ้านชาวนาของไทยแล้ว มันช่างห่างไกลกันสุดขั้ว !!


เมื่อถามถึงเหตุผลว่า ทำไมบ้านชาวนาที่่นี่ถึงใหญ่โตนัก คำตอบจากไกด์ท้องถิ่นก็ซื่อ ๆ ตรง ๆ ดีฮ่ะ ไกด์ท้องถิ่นบอกว่า เพราะชาวนาจีนนั้นส่วนใหญ่แล้วมักชอบอวด..อวดว่าบ้านของตัวจะต้องโอ่อ่าใหญ่โตกว่าบ้านของคนอื่น หากบ้านของตนเล็กกว่าก็จะถูกดูถูก หาว่าขี้เกียจ มีที่ดินเท่า ๆ กันแต่ไม่สามารถสร้างบ้านให้ใหญ่โตเทียบเคียงบ้านอื่นได้ แต่ที่เห็นหลังโต ๆ นี่ไม่ได้หมายความว่ามีการตกแต่งภายในบ้านหรือใช้ประโยชน์ในบ้านได้ครบทุกห้องนะเค๊อะ บางครั้งบ้านใหญ่ ๆ แบบนี้มีห้องหับภายในบ้าน 5-6 ห้อง แต่มีเฟอร์นิเจอร์และใช้งานแค่ 1-2 ห้องก็มี ที่เหลือก็ปล่อยไว้รกร้างว่างเปล่าไม่ได้เข้าไปใช้งานอะไร (>.<) คือสร้างหลังโต ๆ ไว้งั้นแหนะ หลอกสายตาชาวบ้านร้านช่องเค้าไปก่อนว่าบ้านตรูหลังโตนะเฟร้ย..มีฐานะดี ขยันหมั่นเพียร กว่าคนอื่นย่ะ


อีกเรื่องนึงซึ่งคงจะต้องเก็บมาเล่าในเรื่องเหล้าเมาระหว่างทาง (อันนี้ไม่ใช่แระ) ก็คงจะเป็นเรื่องของการที่เราเคยได้ยินว่า..ประเทศจีนมีกฎหมายให้มีลูกได้คนเดียวนี่แหละฮ่ะ..ถามว่าจริงมั้ย..จริงฮ่ะ..ประเทศจีนนั้นเป็นประเทศที่มีขนาดที่ใหญ่โต มีพื้นที่เป็นอันดับสามของโลก และมีประชากรมากถึง 1.3 พันล้านคน (ในพื้นที่ราว 9.6 ล้านตารางกิโลเมตร) ดังนั้นเรื่องของการควบคุมจำนวนประชากรจึงเป็นอีกหนึ่งความจำเป็นที่รัฐบาลจีนค่อนข้างให้ความสำคัญอยู่ ถามว่า...แล้วถ้าเกิดบังเอิญว่าผู้หญิงจีนดันตั้งท้องลูกคนที่สอง ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจล่ะ ไกด์บอกข้อมูลที่น่าตกใจว่า..ก็ควร "หนีไปกบดาน" ให้พ้นจากผู้นำท้องถิ่นฮ่ะ แม้ว่าคุณจะตั้งท้อง 7-8 เดือนแล้วก็ตาม แต่ถ้าผู้นำท้องถิ่นหาคุณเจอ.....คุณก็จะถูกนำตัวไปทำแท้งแน่ ๆ T^T...เพราะฉะนั้น หากตั้งท้องลูกคนที่สอง ทางเลือกเพียงอย่างเดียวหากอยากเก็บเด็กเอาไว้ ก็คือต้องหนีให้พ้นไปจนกว่าจะคลอดเด็ก...โอ้ว..ฟังแล้วน่ากลัวอยู่เหมือนกันเนอะ ถึงบ้่านเราเมืองเราจะมีหลายอย่างที่สู้เมืองนอกไม่ได้ แต่เรื่องของการทำแท้งเด็กที่จวนจะคลอดโดยทางการเนี่ย ไม่มีแน่ ๆ มันผิดทั้งกฎหมายแล้วก็ศีลธรรมที่มนุษย์ควรจะมีอ่ะ

โอ้ว..ยาว..555+ สงสัยต้องยกยอดเรื่องเล่าระหว่างทางไปตอนหน้าอีกตอนนึงแล้วล่ะนะคะ แล้วกลับมาพบกันได้ใหม่กับทริปถูกใจครั้งหน้าค่ะ




เรื่องและภาพประกอบโดย Pacharawalai






วันอาทิตย์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2556

มุ่งหน้าสู่หังโจว


ทริปนี้เราออกเดินทางกันด้วยสายการบินเซี่ยงไฮ้ แอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ FM 854 ฮ่ะ และเนื่องจากเครื่องของเราจะออกเดินทางเวลาเที่ยงคืนยี่สิบ ดังนั้นจึงประมาณการณ์ได้ว่า งานนี้ลูกทัวร์เดนตายทั้งหลายจะต้องนอนค้างอ้างแรมอยู่บนเครื่องบินกันจนกว่าจะรุ่งสางนั่นล่ะ แถมพอเช้าแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้เข้าที่พักเลยนะเค๊อะ แต่จะต้องรีบทำเวลาในการท่องเที่ยวต่อกันทั้งวันจนกว่าจะหมดโปรแกรมท่องเที่ยวที่ทางทัวร์เค้าแพลนมาให้

ระยะเวลาที่ใช้ในการเดินทางระหว่างเมืองไทยกับมหานคร เซี่ยงไฮ้ ของจีนนั้นอยู่ที่ 3 ชั่วโมง 40 นาทีฮ่ะ ตีคร่าว ๆ ตัวเลขกลม ๆ ก็อยู่ที่ 4 ชั่วโมง แต่ด้วยเวลาของเมืองจีนที่ไวกว่าเมืองไทย 1 ชั่วโมง ดังนั้น ตอนเราไปถึงสนามบินเซี่ยงไฮ้ ฟ้ิาก็สางและนาฬิกาก็บอกเวลากว่า 6 โมงเช้าเข้าไปละ

โปรแกรมของวันนี้เราจะเริ่มต้นด้วยการกินอาหารเช้ากันก่อนค่ะ จากนั้นก็จะใช้เวลาในการนั่งรถบัสไปยัง เมืองหังโจว ซึ่งเป็นเมืองหลวงของมณฑลเจ้อเจียงกันต่อ ซึ่งที่นั่นนอกจากจะมีความสวยงามจนในอดีตมีคำเปรียบเปรยถึงเมืองหังโจวและซูโจวว่า "บนฟ้ามีสวรรค์ บนดินมี ซู(โจว) หัง (โจว)" แล้ว ยังเป็นเมืองที่เป็นแหล่งเภสัชอุตสาหกรรมและเป็นที่ตั้งของสถาบันศิลปะที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของประเทศจีนอีกด้วย

ระหว่างการเดินทาง ไกด์ท้องถิ่นของเราซึ่งก็เป็นคนจีนแท้ ๆ แต่มีชื่อไทยให้เรียกกันง่าย ๆ ว่าคุณบูรพา ก็เริ่มพูดคุยถึงรายละเอียดปลีกย่อยที่น่าสนใจเกี่ยวกับประเทศจีน แต่ด้วยความที่ระหกระเหินเดินทางกันมาตลอดตั้งแต่เย็นยันค่ำ..ค่ำยันเช้า สุดท้าย ฟังพี่แกอรรถาธิบายได้เพียงสามประโยคครึ่ง อิชั้นก็หลับเงิบ.........T^T

มาตื่นอีกทีก็ตอนแกชี้ชวนให้สมาชิกในรถดูไอ้เจ้าดอกสีเหลือง ๆ ที่โบกไสวอยู่กลางทุ่งนาริมทางเป็นหย่อม ๆ นั่นแหละฮ่ะ...เออนะ..เวลาข้อมูลอะไรดี ๆ ล่ะพลาด !! ส่วนไอ้ข้อมูลที่จริง ๆ มันไม่ได้จำเป็นต้องรู้สักนิด เจือกตื่นมาฟังซะงั้น >0</


คุณบูรพาเล่าว่าา ไอ้เจ้าดอกเหลือง ๆ ที่เราเห็นตลอดเส้นทางระหว่างเซี่ยงไฮ้และหังโจว ก็คือดอกน้ำมันฮ่ะ...เนื่องจากชาวจีนซึ่งเป็นชาวนาแถบนี้ไม่ซื้อน้ำมันประกอบอาหารใช้กัน แต่จะนำเอาเมล็ดของต้นน้ำมันหรือดอกน้ำมันนี้มาสกัดใช้กันทั้งทุ่ง(แสดงว่าต้องมีเครื่องสกัดน้ำมันกันทุกบ้าน) เอิ่ม..งี้โรงงานน้ำมันพืชเมืองไทยมาลงทุนที่นี่คงขายไม่ออกกันสิเนาะ

ช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งยังคงมีความหนาวเย็นอยู่ช่วงนี้ วิวทิวทัศน์ของเมืองจีนแถบนี้สวยงามจริง ๆ ฮ่ะ ขนาดอิชั้นเองซึ่งถือว่าเป็นคนบ้านนอก เห็นวิวทิวทัศน์และคลุกคลีอยู่กับธรรมชาติเกือบทุกวันยังอดทึ่งไม่ได้ เพราะทุกที่ที่รถแล่นผ่านไป ก็จะเห็นต้นไม้ดอกไม้แทรกตัวกันอย่างกลมกลืนเป็นระยะ ๆ นอกจากนั้นแล้วบ้านเรือนของชาวจีนสองข้างทาง ยังใหญ่โตสวยงามแปลกตา เหมือนมีคนยกเอาคฤหาสถ์ของคนมีตังค์มาตั้งอยู่เป็นหย่อม ๆ ยังไงยังงั้น




แล้วอิชั้นก็ต้องทึ่งตึ้งโป๊ะเป็นรอบที่สอง เมื่อคุณบูรพาชี้ให้ดูว่า ไอ้เจ้าคฤหาสถ์ใหญ่ ๆ โต ๆ ที่อิชั้นเห็นอยู่นั่นน่ะ "บ้านชาวนา" นะยะ  (o_O")..เฮ่ย..เอาจริงอ่ะ บ้านชาวนาที่นี่ใหญ่โตโอ่อ่าขนาดนี้เลยเหรอ

"ไม่ต้องแปลกใจครับ..ที่เมืองจีนนี่เราถือว่าชาวบ้านนอกรวยกว่าชาวเมือง ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นเหรอครับ นั่นก็เป็นเพราะว่า คนบ้านนอกนั้นจะมีบ้านเดี่ยวที่สร้างเองบนที่ดินของรัฐบาล ส่วนคนเมืองจะมีเพียงแค่ห้องชุดเล็ก ๆ บนตึกสูง ๆ ที่ต้องอยู่รวมกันเป็นพัน ๆ ครอบครัวเท่านั้น"

แล้วทำไมถึงต้องสร้างให้มันใหญ่โตขนาดนี้เลยอ่ะ ?? ..............

รู้สึกว่าเนื้อหาบล็อกชักจะยาวไปแระ...ไว้มาเล่าต่อในตอนหน้าละกันนะคะ ^^


เรื่องและภาพประกอบโดย Pacharawalai